คงน่าเสียดายหากเบื้องหลังและผลงานของเหล่าวีรชนแห่งยุคสามก๊กผู้มีใจสูงไม่ถูกเล่าต่อจนสูญหายไปตามกาลเวลา
สำนักพิมพ์มติชนได้คัดเอา "11 ยอดวีรชนสามก๊ก ผู้ปิดทองหลังพระ" จากหนังสือ ยอดวีรชนสามก๊ก 33 ผู้มีใจสูง มาให้ชมกันในเฟสบุ้คของสำนักพิมพ์ เพื่อให้แฟน ๆ สามก๊กได้ทบทวนกันอีกครั้งว่า มีวีรชนในดวงใจของท่าน เป็นหนึ่งใน 11 คนนี้หรือไม่ พร้อมคำอธิบายว่า11 ยอดวีรชนจากหนังสือ ยอดวีรชนสามก๊ก 33 ผู้มีใจสูง
"ถ้าพูดถึงสามก๊ก เราอาจนึกถึงยุทธวิธีสู่ชัยชนะ หรือขุนศึกผู้หาญกล้าอันโด่งดัง เช่น ลิโป้ เตียวหุย จูล่ง ลกซุน ฯลฯ แต่ยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญไม่แพ้กันคือเหล่าวีรชนผู้ปราดเปรื่อง พรั่งพร้อมด้วยความสามารถเฉพาะด้าน และอาจชี้เป็นชี้ตายได้ด้วยความเฉลียวฉลาด ทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
คงน่าเสียดายหากเบื้องหลังและผลงานของเหล่าวีรชนแห่งยุคสามก๊กผู้มีใจสูงไม่ถูกเล่าต่อจนสูญหายไปตามกาลเวลา"
เห็นว่าเป็นบทความดี มีคุณค่าต่อการศึกษาเรื่องสามก๊กมาก จึงขอบันทึกไว้และนำมาแบ่งปันกันครับ
กว่านหนิง (ค.ศ.158-241)
ฤาเป็นหมวกแห่งเลียวตั๋ง บริสุทธิ์ดั่งหิมะขาวบทประพันธ์ “ลำนำปณิธาน” (正气歌) ของเหวินเทียนเสียงกล่าวชื่นชมวีรบุรุษไว้ไม่น้อย ในจำนวนนั้นมีสองคนจากยุคสามก๊ก หนึ่งบู๊หนึ่งบุ๋น
ฝ่ายบู๊คือ “เงียมหงัน” และฝ่ายบุ๋นคือ “กว่านหนิง”
“เงียมหงัน” ยึดการต่อต้านไม่ยอมศิโรราบจนแม้แต่ขุนพลเตียวหุยยังเลื่อมใส เหตุนี้เองเขาจึงได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ หากพิจารณากันที่ความสำเร็จ กว่านหนิงไม่ได้มีผลสำเร็จอันใดที่ชัดเจนเลย สาเหตุที่เขาได้รับการยกย่องจากเหวินเทียนเสียงและฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ก็เพราะคุณลักษณะของเขาซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์ดั่งหิมะขาวนั่นเอง
สิ่งที่ทำให้คนเคารพนับถือกว่านหนิงที่สุดคือ นิสัยบริสุทธิ์จริงใจของเขา รวมถึงคุณธรรมและการมองชื่อเสียงลาภยศดั่งอากาศธาตุแม้จะเกิดในช่วงกลียุค แต่นิสัยของกว่านหนิงนั้น ด้านหนึ่งสามารถก้มหัวทำไร่ไถนาปลูกข้าวได้ อีกด้านหนึ่งก็สามารถร่ำเรียนยกระดับตนเอง
ผ่านไปนานเข้าชื่อเสียงของเขาก็ค่อยๆ เลื่องลือไปไกล เพื่อนในวัยเด็กอย่าง “ฮัวหิม” อยากสละตำแหน่งเสนาธิการทหารสูงสุดให้กว่านหนิง แต่กว่านหนิงไม่ยอมรับ สุดท้ายแม้แต่พระเจ้าโจยอยยังทนไม่ไหว ออกพระราชโองการหลายฉบับบีบบังคับให้เขามาทำงานในราชสำนัก แต่กว่านหนิงก็ยังปฏิเสธอย่างนุ่มนวล สุดท้ายกว่านหนิงก็สามารถรักษาศีลธรรมจรรยาแลร่างกาย อยู่จนแก่เฒ่า ณ บ้านเกิดอันกันดารของเขา
ปิ่งหยวน (ค.ศ.?-?)
กระเรียนขาวในหมู่เมฆ ยอดบุรุษแห่งแผ่นดินปิ่งหยวนและกว่านหนิงสัมพันธ์กันทั้งในฐานะศิษย์กับอาจารย์ มิตรสหาย และพี่กับน้อง แม้ทั้งสองนับเป็นผู้สูงส่งแห่งยุคสามก๊กเหมือนกันแต่นิสัยแตกต่างกันมาก กว่านหนิงเป็นคนเรียบง่าย ถือสันโดษตามธรรมชาติไม่แสวงหาสิ่งใด ปิ่งหยวนเป็นคนไม่หว่านพืชหวังผล ตรงไปตรงมา ใช้กำลังอย่างมีเหตุผล เนื่องจากเขาไม่มีความอยากได้อยากมี กองซุนตู้จึงเคารพนับถือเขามาก แม้แต่โจโฉยังเคารพนบนอบเขา
ตลอดชีวิตของปิ่งหยวน เขาเป็นที่รู้จักในนามบุคคลซึ่งกล้าปฏิเสธ เหล่าผู้มีอำนาจอันแข็งแกร่ง เขาเคยไม่สนใจหมายสั่งประหารจากกองซุนตู้ช่วยเหลือคนบ้านเดียวกันอย่างหลิวเจิ้ง ยังเคยโต้แย้งโจผีซึ่งหน้า ยิ่งกว่านั้นยังเคยปฏิเสธข้อเสนอของโจโฉเรื่องที่จะให้ฝังโจฉองและลูกสาวของปิ่งหยวน ซึ่งตายตั้งแต่เยาว์วัยไว้ด้วยกัน ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ปิ่งหยวน กลับรู้สึกเลื่อมใสในตัวเขามากขึ้นไปอีก แค่พิจารณาจากเหตุการณ์ข้างต้นนี้ ในยุคสามก๊กก็ไม่มีใครเทียบเขาได้อีกแล้ว
คุณธรรมและความประพฤติของปิ่งหยวน ทำให้เสนาธิการหมายเลขหนึ่งของโจโฉอย่างซุนฮิวชมเขาไม่ขาดปากว่า “ยอดบุรุษแห่งแผ่นดิน ปัญญาชนผู้ซื่อตรงโปร่งใส”
อ้วนฮวน (ค.ศ.?-?)
ผู้เปี่ยมอารมณ์ ภายนอกอ่อนโยนแต่ภายในเด็ดขาดอ้วนฮวนเป็นบุตรชายของอ้วนพังซึ่งมีตำแหน่งเป็นซือถูในสมัยปลายราชวงศ์ฮนั่ ตะวันออก มีชาติกำเนิดสูงส่งลูกหลานของชนชั้นปกครอง ในสมัยนั้นมักจะอาศัยอภิสิทธิ์ทำผิดกฎหมายและประเพณี แต่อ้วนฮวนกลับนิ่งสงบไร้การเคลื่อนไหว กระทำสิ่งใดก็ยึดกฎเกณฑ์และประเพณี
ชีวิตของอ้วนฮวนเคยผ่านสามมหาอำนาจคืออ้วนสุด ลิโป้ และโจโฉ ซึ่งทั้งสามคนนี้ล้วนมีชื่อเสียงจากการเป็นขุนพลผู้แข็งแกร่ง แต่อ้วนฮวนยึดหลักคุณธรรม ใช้เหตุผลในการสู้รบ จนอ้วนสุดให้ความเคารพ ลิโป้ก็ให้ความนอบน้อม และสุดท้ายแม้แต่โจโฉก็ยังเชื่อฟังและทำตามแผนการของเขา อีกทั้งยังอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้สิ่งที่ทำให้ผู้คนนับถืออ้วนฮวนคือ เขาใช้ชีวิตอย่างคนที่หลุดพ้นโลกียวิสัยแสดงท่าทีชัดเจนว่าลูกผู้ชายสูงส่งย่อมไม่มั่วโลกีย์ กำลังอำนาจมิสามารถกำราบเขาได้
ช่วงแรกที่โจโฉเริ่มให้มีการทำไร่ไถนา ผลลัพธ์ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะชาวไร่ชาวนาล้วนถูกบีบบังคับมา อ้วนฮวนแนะนำว่าให้ชาวนาทำตามความสะดวก ผลผลิตก็จะดีและเพิ่มมากขึ้นด้วยเหตุนี้โจโฉจึงสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารซึ่งเรื้อรังมานานได้ การปฏิบัติตนของอ้วนฮวนก็เหมือนที่เขาบริหารราชการแผ่นดิน เป็นจริงและเป็นธรรมชาติ ซื่อตรงไม่ประจบสอพลอ
หลังจากเขาเสียชีวิต ไม่เพียงประชาชนที่รำลึกถึงเขา แม้แต่โจโฉยังหลั่งน้ำตาและบริจาคข้าวสารส่วนตัวให้หนึ่งพันหู (1 หู เท่ากับ 100 ลิตร) เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย
ฮันสง (ค.ศ.?-?)
ขุนนางผู้เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมศึกกัวต๋อคือสงครามชี้เป็นชี้ตายระหว่างอ้วนเสี้ยวและโจโฉ แต่เล่าเปียวกลับเป็นมือที่สามซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่สุด เล่าเปียวผู้นี้ไร้วิสัยทัศน์และขาดปณิธานอันยิ่งใหญ่ แต่กลับอยากนั่งบนภูดูเสือกัดกัน คอยชมว่าฝ่ายอ้วนเสี้ยวหรือฝ่ายโจโฉจะเป็นผู้ชนะ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายเห็นว่าท่าทีเช่นนี้ของเขาไม่เป็นประโยชน์ ต่างพากันโน้มน้าวให้เขาสนับสนุนโจโฉ สุดท้ายเล่าเปียวก็ส่งฮันสงไปสืบดูสถานการณ์ภายในของฝ่ายโจโฉ
หลังจากฮันสงกลับมาก็เกลี้ยกล่อมให้เล่าเปียวเข้ากับโจโฉ เล่าเปียวโกรธมากเพราะคิดว่าฮันสงทรยศเขาทำท่าจะประหาร ฮันสงไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย โต้กลับเสียงดังว่า “ท่านแม่ทัพต่างหากที่ทรยศฮันสง ฮันสงหาได้ทรยศท่านไม่”
หลายคนต่างช่วยกันโน้มน้าวเล่าเปียว เขาจึงสั่งให้คุมขังฮันสงแทนที่จะประหาร
ฮันสงโดนคุมขังนานถึงแปดปี ระหว่างนั้นเขายืนหยัดไม่เคยยอมแพ้ จนกระทั่งถึงวันที่โจโฉยึดครองเกงจิ๋วได้สำเร็จ เขาจึงได้รับการปล่อยตัว
หมอฮัวโต๋ (ค.ศ.?-?)
หมอเทวดาผู้ไร้เทียมทานหมอฮัวโต๋และเพียนเชว่1คือตัวบุคคลตัวอย่างแห่งประวัติศาสตร์การแพทย์จีน ทั้งสองต่างได้รับสมญานามว่า “หมอเทวดา” หมอฮัวโต๋เกิดหลังเพียนเชว่หลายร้อยปี เขาโชคดีที่ได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่บุคคลอันยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ ดังนั้นฝีมือการแพทย์ของเขาจึงดูเหมือนจะสูงกว่าเพียนเชว่อยู่สักหน่อย
วิชาแพทย์อันล้ำและฝีมือการรักษาที่เหนือชั้นราวกับเทพของหมอฮัวโต๋ล้วนได้การบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แต่สิ่งที่เหนือชั้นที่สุดก็คือ หมอฮัวโต๋คิดค้นยาชาได้ตั้งแต่ 1,800 ปีก่อน อีกทั้งยังใช้ยาชาในการผ่าตัดภายนอกอีกด้วย นับเป็นการบุกเบิกครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การแพทย์ น่าเสียดายที่หลังจากหมอฮัวโต๋ถึงแก่กรรม วิชาความรู้นี้ก็หายสาบสูญไปพร้อมกับเขา
โจโฉคือผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาคนไข้ของหมอฮัวโต๋ โจโฉเป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรังทั่วทั้งใต้หล้ามีเพียงหมอฮัวโต๋ที่รักษาได้ ทว่าหมอฮัวโต๋ค่อนข้างไม่ชอบโจโฉ เมื่อได้โอกาสออกไปครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ยอมกลับมาอีกเลย โจโฉโมโหจัดจึงจับเขาขังคุกไว้จนตาย
กาเซี่ยง (ค.ศ.147-223)
ผู้ปราดเปรื่องอันดับหนึ่งในสามก๊กกาเซี่ยงเป็นบุคคลที่พิเศษอย่างยิ่งในยุคสามก๊ก หากกล่าวถึงสติปัญญาและความฉลาดปราดเปรื่องในด้านกลยุทธ์
เขาไม่มีทางเป็นรองคนในยุคเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะเขามักจะเสนอยุทธศาสตร์ที่แยบยลเสมอ คำพูดต้องตรงจุด แผนการต้องสำเร็จมิเคยพลาดพลั้ง
แต่ถึงแม้กาเซี่ยงจะเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ทว่ากลับชอบปั่นหัวคนเล่นที่ผ่านมาเคยเข้าร่วมกับกังฉินหลายคน และสิ่งนี้เองที่กลายเป็นจุดด่างพร้อยในด้านคุณธรรมของชีวิตเขา
การกระทำสามครั้งที่น่าตื่นใจที่สุดของกาเซี่ยงครั้งหนึ่งคือช่วยเตียวสิ้วรบชนะศึกใหญ่กับโจโฉ ต่อมาก็โน้มน้าวให้เตียวสิ้วไปเข้ากับโจโฉ เป็นการหาที่พึ่งที่ดีที่สุดให้แก่เตียวสิ้ว สุดท้ายเขาได้ใช้คำพูดไม่กี่ประโยคที่ดูไม่ได้จริงจังนัก ในการตัดสินชี้ขาดยามโจโฉต้องการแต่งตั้งรัชทายาท เพื่อที่ต่อมาวุยก๊กจะสามารถหลีกเลี่ยงฝันร้ายแห่งศึกสายเลือดในการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทดังเช่นลูกหลานของอ้วนเสี้ยวและเล่าเปียว
กุยแก (ค.ศ. 170-207)
ผู้รู้ใจโจโฉ ชำนาญการประเมินศัตรูกุยแกเป็นลูกน้องที่อายุน้อยที่สุดของโจโฉ แต่กลับเป็นคนที่โจโฉเชื่อใจที่สุด จนโจโฉยกให้เป็นบุคคลที่รู้ใจมากที่สุดในชีวิต
ความเก่งกาจสามารถของกุยแกมีดังนี้ ประการแรก วินิจฉัยเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ เมื่อครั้งที่โจโฉไปตีลิโป้ แม้จะรบชนะทั้งสามครั้ง แต่ทหารต่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเดิมคิดจะถอยทัพกลับ แต่เพราะกุยแกโน้มน้าวให้ใช้โอกาสยามมีชัยไล่โจมตี โจโฉจึงเร่งรุกเข้าโจมตี ในที่สุดก็จับลิโป้มาประหารได้ เมื่อครั้งที่โจโฉรบกับอ้วนซงและอ้วนฮีที่เมืองอูหวาน กุยแกพิจารณาและคาดการณ์แล้วแนะนำว่าการยุทธ์นั้นต้องรวดเร็ว จึงโจมตีโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ตีอูหวานจนแตกพ่าย และประหารอ้วนซงกับอ้วนฮีได้ในที่สุด
ประการที่สอง ดูคนออกได้อย่างแม่นยำ กุยแกเคยเตือนโจโฉให้เร่งจัดการกับเล่าปี่โดยเร็ว และเคยทำนายจุดจบของซุนเซ็ก เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่ากุยแกนั้นพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำราวเทวดา แต่ครั้งสำคัญที่สุดที่เขามองคนออกได้อย่างชาญฉลาดก็คือข้อดีสิบประการของโจโฉ และข้อด้อยสิบประการของอ้วนเสี้ยวที่เขากับซุนฮกกล่าวขึ้นมา สร้างหลักเหตุผลที่จะทำให้โจโฉสามารถพิชิตอ้วนเสี้ยวได้ในศึกใหญ่ ณ กัวต๋อ
อย่างไรก็ตาม แม้กุยแกมีความสามารถมาก แต่ชีวิตกลับสั้นนัก กุยแกมีชีวิตอยู่เพียงสามสิบเจ็ดปี ข้อนี้ทำให้โจโฉทุกข์ใจอย่างมิรู้วาย เนื่องจากโจโฉคิดมาตลอดว่า ตอนรบในศึกเซ็กเพ็ก หากกุยแกยังอยู่ ทัพโจโฉอาจไม่พ่ายแพ้ หรือต่อให้พ่ายแพ้ก็คงไม่ยับเยินเช่นนี้
โจสิด (ค.ศ. 192-232)
อัจฉริยะแห่งวงวรรณกรรมผู้ไม่เหมือนใคร ฉลาดล้ำลึกถึงแปดโถ่วโจสิดเป็นหนึ่งในอัจฉริยบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติวรรณคดีจีน ภาษิตที่ว่า “ฉลาดล้ำลึกถึงแปดโต่ว” หมายถึงโจสิดผู้นี้เอง ความฉับไวในการประพันธ์ของโจสิด นับว่ามีน้อยมากในประวัติศาสตร์
โจผีเคยระบายความแค้นในช่วงที่มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ โดยสั่งให้เขาแต่งกลอนให้ได้ภายในเจ็ดก้าว แต่เขายังเดินมิทันถึงเจ็ดก้าวก็สามารถประพันธ์ “กลอนเจ็ดก้าว” อันลือลั่นในภายหลังออกมาได้ โดยกลอนบทนี้มีเนื้อหาประชดประชันโจผี ทำให้โจผีถึงกับนั่งไม่ติดที่
โจสิดเป็นกวีผู้ยิ่งใหญ่ แต่เกิดในตระกูลชั้นสูงวรรณะปกครอง สุดท้ายด้วยนิสัยอันเสเพลของเขาทำให้ช่วงครึ่งหลังของชีวิตต้องจมอยู่กับโชคชะตาอันน่าเวทนา แต่เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขากลายเป็นนักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ หลังจากที่เขาตกอับ ผลงานของเขายิ่งมีความลึกซึ้งมากขึ้น คุณค่าทางวรรณศิลป์ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นด้วย
ตู้ฝู่ กวีเอกของจีนกล่าวไว้ว่า “บทกวีเกลียดโชคชะตาที่ประสบความสำเร็จ” หมายความว่าชีวิตที่ทุกข์ยากเท่านั้นถึงสามารถหล่อหลอมงานประพันธ์ที่ดีได้ หากมองจากจุดนี้ โจสิดนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
จิวยี่ (ค.ศ.175-210)
แม่ทัพรูปงามผู้เพียบพร้อมทั้งบู๊และบุ๋นจิวยี่เป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์จีน เพราะเขามีความสามารถครบครันในทุกด้าน ทั้งบุ๋น บู๊ รูปร่างหน้าตา และการดนตรี จิวยี่ไม่เพียงมีความสามารถด้านอักษรศาสตร์ แต่ยังเข้าใจทำนองเพลงอย่างลึกซึ้งอีกด้วย จนมีภาษิตที่ว่า “กู้ฉวี่โจวหลาง (顧曲周郎)” (ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี) ซึ่งมีที่มาจากจิวยี่นี่เอง
ในศึกเซ็กเพ็ก จิวยี่ใช้ทหารเพียงสามหมื่นนายถล่มกองทัพโจโฉซึ่งมีทหารหลายแสนนาย ทำให้นับแต่นั้นเป็นต้นมาโจโฉไม่สามารถนำทหารบุกลงใต้ได้อีก ซูซื่อ กวีผู้มีชือ่เสียงสมัยราชวงศ์ซ่ง ได้เขียนบทประพันธ์สรรเสริญจิวยี่ไว้ชื่อว่า “เนี่ยนหนูเจียว” (念奴娇)
นอกจากจิวยี่จะเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ เขายังเป็นบุรุษรูปงามผู้มีชื่อเสียงก้องระบือผู้หนึ่งแห่งประวัติศาสตร์จีน เสียวเกี้ยวภรรยาของเขาก็เป็นสตรีรูปงามลือชื่อผู้หนึ่งเช่นเดียวกัน เมื่อจิวยี่กับเสียวเกี้ยวแต่งงานกัน จึงกลายเป็นคำพูดแห่งประวัติศาสตร์ที่ว่า “วีรบุรุษคู่หญิงงาม”
สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือ จิวยี่นอกจากจะไม่ทะนงตัวในความเก่งกาจสามารถของตน แต่ยังเป็นคนใจกว้าง นักรบเฒ่าเทียเภายังยอมรับและเลื่อมใสในตัวจิวยี่ และด้วยเหตุนี้เทียเภาได้กล่าวคำพูดที่เลื่องลือสืบมาว่า “คบจิวยี่ก็เหมือนการร่ำสุรา ดื่มไปดื่มมาก็เมาไม่รู้ตัว”
โลซก (ค.ศ.172-217)
นักวางกลยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งตังง่อในวรรณกรรมสามก๊ก โลซกถูกบรรยายว่าเป็นบุคคลผู้มีสติปัญญาอย่างคนทั่วไป มิได้มีอะไรโดดเด่นกว่าผู้อื่น อีกทั้งมักถูกขงเบ้งเหน็บแนมและกลั่นแกล้งอยู่เสมอ แต่ความจริงแล้วนั่นคือการใส่ร้ายและบิดเบือนโลซก
ตัวตนที่แท้จริงของโลซกนั้นไม่เพียงกล้าหาญและเปี่ยมกลยุทธ์ แต่ความสามารถในการวางแผนของเขายังไม่เป็นรองมอกายและขงเบ้งอีกด้วย
โลซกเป็นขุนนางรุ่นแรกๆ ของตังง่อ ถือได้ว่าสำคัญเป็นอันดับสองรองจากจิวยี่ ตั้งแต่เขาพบกับซุนกวนก็ทำให้ซุนกวนกล้าแหวกกรอบความคิดโยนราชวงศ์ฮั่นที่ไม่มีค่าควรแก่การประคับประคองทิ้ง ตั้งก๊กของตนขึ้นมาโดยเริ่มจากการตั้งหลักในกังตั๋งให้มั่นคงก่อนแล้วค่อยๆ ขยายแผ่นดิน บรรลุหน้าที่ที่ฮ่องเต้สมควรทำ
กลยุทธ์นี้ของโลซกต่อมาได้กลายเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างแผ่นดินของตังง่ออีกด้วย และตั้งแต่นั้นมาซุนกวนก็กลายเป็นมหาวีรบุรุษที่ไม่ได้หยุดพักรบเลย เหตุเริ่มต้นล้วนมาจากความอาจหาญและยุทธวิธีการวางแผนของโลซก
นางซีฮูหยิน (ค.ศ.?-?)
สตรีผู้ล้างแค้นให้สามีและปกป้องเมืองเพื่อชาตินางชีฮูหยินคือภรรยาของซุนเซียงเจ้าเมืองตันเอี๋ยงแห่งง่อก๊ก ซุนเซียงถูกสังหารด้วยฝีมือศัตรูของแซ่ซุน นั่นก็คืออิหลำและไต้อ้วนซึ่งเป็นลูกน้องของเซิ่งเสี้ยนเจ้าเมืองง่อกุ๋น หลังจากนั้นทั้งสองก็เข้ายึดเมืองตันเอี๋ยง พวกเขาไม่เพียงคิดจะเข้าสวามิภักดิ์โจโฉ แต่ยังต้องการทำลายเกียรติของนางชีฮูหยินอีกด้วย
ท่ามกลางสถานการณ์คับขันในเมืองตันเอี๋ยง นางชีฮูหยินออกอุบายใช้มารยาหญิงฆ่าอิหลำและไต้อ้วน ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาเกียรติของตน แต่ยังทำเพื่อล้างแค้นให้กับสามีและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการรักษาเมืองตันเอี๋ยงเอาไว้ได้
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
กรุณาแสดงความคิดเห็น