Loading ...

$show=home

จุดเริ่มต้นของการศึกษาสามก๊ก

แหล่งศึกษาเรียนรู้ ทุกเรื่องราวของวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลก

สามก๊กวิทยา : THREE KINGDOMS ACADEMY

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่อาณาจักร
"สามก๊กวิทยา"
THREE KINGDOMS ACADEMY

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81

เนื้อหา

• โจมอเสวยราชสมบัติ 
• สุมาเจียวเป็นมหาอุปราช 
• เกียงอุยยกทัพไปตีวุยก๊ก 
• เกียงอุยเสียทีถอยทัพกลับ


ฝ่าย พระเจ้าโจฮองออกว่าราชการ ได้เห็นหน้าสุมาสูก็มีความกลัวเกรงนัก วันหนึ่งเห็นสุมาสูถือกระบี่เดิรเข้าไปตกใจ จึงเลื่อนองค์ลงมาจากพระที่นั่งก็เสด็จออกไปรับสุมาสู ๆ ก็หัวเราะแล้วจึงว่า มีธรรมเนียมอยู่หรือเจ้าจะออกมาต้อนรับข้า เชิญเสด็จขึ้นไปนั่งบนที่เถิดจึงจะสมควร

ฝ่ายขุนนางทั้งปวงปรึกษาราชการอยู่ เห็นสุมาสูเข้ามาก็นิ่งเสียมิได้ว่าต่อไป พระเจ้าโจฮองก็นิ่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วกลับเข้าไปข้างใน ฝ่ายสุมาสูก็ออกมาจากที่เฝ้า ไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้าโจฮอง ก็ขึ้นเกวียนให้ทหารประมาณพันหนึ่งถือศัสตราวุธแห่ออกมาแต่ในวังกลับมาบ้าน พระเจ้าโจฮองแลดูซ้ายขวา ก็เห็นขุนนางผู้ใหญ่เปนที่ปรึกษาสามคน ชื่อแฮเฮาเหียนคนหนึ่ง ลิฮองคนหนึ่ง เตียวอิบบิดานางเตียวฮองซึ่งเปนมะเหษีคนหนึ่ง พระเจ้าโจฮองก็ขับคนทั้งปวงออกไปเสีย จึงเรียกขุนนางทั้งสามคนเข้ามาใกล้ ยึดมือเตียวอิบเข้าแล้ว ทรงพระกรรแสงจึงว่า ทุกวันนี้สุมาสูดูถูกเราเหมือนเด็กน้อย ดูถูกขุนนางทั้งปวงเหมือนหญ้าแพรก เราเห็นไม่ช้าแล้วราชสมบัติก็จะเปนของสุมาสู

ลิฮองจึงทูลว่า ข้าพเจ้านี้ไม่มีกำลังแลสติปัญญาที่จะช่วยพระองค์ได้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอตรารับสั่งของพระองค์ออกไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง จะ ได้หาคนดีมีสติปัญญามีฝีมือกล้าแขงแลทหารทั้งปวงได้มากแล้ว จะเข้ามากำจัดอ้ายศัตรูแผ่นดินให้จงได้ แฮเฮาเหียนจึงทูลว่า แฮหัวป๋าพี่ชายข้าพเจ้าหนีไปเข้าด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยน เพราะพวกสุมาสูจะทำอันตราย ถ้าพี่ชายข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์จะกำจัดสุมาสูก็จะกลับมาช่วย ข้าพเจ้าก็เปนเชื้อพระวงศ์ เปนเหตุดังนี้แล้วจะนิ่งเสียได้หรือ จะขอไปเกลี้ยกล่อมด้วยลิฮอง

พระเจ้าโจฮองจึงว่า เราพรั่นนักเกรงจะทำมิสำเร็จ ขุนนางสามคนร้องไห้แล้วทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งสัตย์สาบาลพร้อมใจกันจะคิดอ่านกำจัดอ้ายศัตรูแผ่นดินให้จงได้ พระเจ้าโจฮองจึงเปลื้องเสื้อทรงซับในออกแล้วกัดนิ้วมือเอาโลหิตเขียนรับสั่ง ลงในเสื้อส่งให้เตียวอิบแล้วจึงว่า เมื่อครั้งพระเจ้าโจโฉปู่ชวดของเราฆ่าพวกตังสินเสียนั้น เพราะทำการไม่มิด ท่านทั้งสามจะทำครั้งนี้ถ้าแพร่งพรายสิมิเปนการ ลิฮองจึงทูลว่ายังมิทันไรพระองค์มาว่าให้เปนลางดังนี้เล่า ข้าพเจ้าจะโง่เหมือนตังสินนั้นหรือ สุมาสูจะหลักแหลมเหมือนพระเจ้าโจโฉนั้นหรือ พระองค์อย่าสงสัยเลย ทูลแล้วก็ลาออกมา

ขณะนั้นมีผู้เอาความลับทั้งปวงไปบอกแก่สุมาสู ๆ โกรธถือกระบี่พาทหารห้าร้อยล้วนถืออาวุธเข้ามาถึงประตูวัง พอพบแฮเฮาเหียนลิฮองเตียวอิบ ๆ กลัวก็หลีกเข้าอยู่ข้างประตูวัง สุมาสูจึงถามว่า ขุนนางออกจากเฝ้าพร้อมกันแล้ว ท่านทั้งสามช้าอยู่ด้วยราชการอันใด สามคนจึงว่า จะทรงฟังหนังสือพงศาวดารให้ข้าพเจ้าอ่านถวาย สุมาสูถามว่าให้อ่านเรื่องไหน ลิฮองจึงว่าอ่านเรื่องอิอิ๋น(๑) แลจิวถองเปนมหาอุปราช ครั้นอ่านถึงเข้าพระเจ้าโจฮองจึงถามข้าพเจ้าว่า อิอิ๋นแลจิวถองได้บำรุงแผ่นดินถึงสองแผ่นดินนั้นทำอย่างไร ข้าพเจ้าทั้งสามนี้ทูลว่า บำรุงเหมือนอย่างมหาอุปราชรักษาบำรุงแผ่นดินครั้งนี้ สุมาสูแกล้งหัวเราะแล้วจึงว่า ท่านทั้งสามจะยกเราไปเปรียบด้วยอิอิ๋นแลจิวถองเจียวหรือ เรารู้ถึงน้ำใจท่านอยู่ เอาเราไปเปรียบอองมังกับตั๋งโต๊ะ ซึ่งเปนศัตรูราชสมบัตินั้น ทั้งสามคนจึงว่า ข้าพเจ้าก็เปนข้าใต้ท้าวของท่าน ซึ่งจะว่าดังนั้นหาควรไม่

สุมาสูโกรธนักจึงว่า อ้ายสามคนมึงยุยงทูลความซุบซิบในที่ลับแล้วร้องไห้ด้วยเหตุอันใด ทั้งสามคนก็ปฏิเสธว่าหามิได้ สุมาสูก็ตวาดแล้วจึงว่า มึงร้องไห้ตายังแดงอยู่ควรหรือมาปฏิเสธเสียได้ แฮเฮาเหียนเห็นว่าการทั้งนี้เสียแล้วจึงว่า กูร้องไห้ทั้งนี้เพราะมึงคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ สุมาสูก็สั่งให้ทหารจับเอาตัวทั้งสามคน แฮเฮาเหียนมือเปล่าก็ตั้งมวยเข้าชกสุมาสู ทหารก็กลุ้มรุมจับเอาตัวได้ สุมาสูจึงให้ค้นดูก็ได้เสื้อทรงซึ่งเขียนตรารับสั่งซ่อนอยู่ในเสื้อเตียวอิบ จึงเอามาอ่านดูมีเนื้อความว่า สุมาสูแลพวกสุมาสูคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ ถ้าขุนนางทั้งปวงมีใจสามิภักดิ์ต่อเรา เร่งคิดอ่านกันกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียได้แล้ว เราจะให้เลื่อนที่มีบำเหน็จรางวัลจงหนัก สุมาสูแจ้งดังนั้นก็โกรธนัก จึงว่าอ้ายเหล่านี้คิดทำอันตรายกู โทษมันหนักนักจะเอาไว้มิได้ ก็สั่งให้เอาขุนนางสามคนไปฆ่าเสียกลางตลาดสิ้นทั้งโคตร สามคนก็ด่าสุมาสูด้วยถ้อยคำหยาบช้า ทหารก็ตบจนฟันหักทั้งสามคน ก็ไม่นิ่งร้องด่าไปจนตาย ฝ่ายสุมาสูก็เข้าไปในวัง

ขณะนั้นพอพระเจ้าโจฮองปรึกษาการอันนั้นกับนางเตียวฮองเฮา ๆ จึงทูลว่า ในวังนี้ผู้คนมากมายนัก ถ้าเนื้อความแพร่งพรายไปข้าพเจ้าก็จะพลอยตาย ว่ายังมิทันสิ้นคำพอแลเห็นสุมาสูถือกระบี่เดิรเข้าไป ครั้นเข้าไปถึงแล้วสุมาสูจึงว่า บิดาข้าพเจ้ายกย่องพระองค์ให้ได้ราชสมบัติ ถึงจิวถองซึ่งเปนมหาอุปราชแต่ก่อนนั้นก็หาเหมือนบิดาข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าทำนุบำรุงพระองค์มา ถึงอิอิ๋นซึ่งเปนมหาอุปราชแต่ก่อนนั้นก็หาทำเหมือนข้าพเจ้าไม่ คุณซึ่งมีมาแต่ก่อนนั้นสูญไปสิ้นแล้ว พระองค์มาฟังคำยุยงคิดจะทำร้ายข้าพเจ้าอีกเล่า พระเจ้าโจฮองจึงว่าเราหาได้คิดทำการดังนั้นไม่

สุมาสูก็ชักเอาเสื้อทรงทิ้งลง ชี้มือแล้วจึงว่านี่ของผู้ใดทำเล่า พระเจ้าโจฮองตกพระทัยไม่มีสมประดีจนพระองค์สั่น อุตส่าห์แข็งใจว่าเราทำการทั้งนี้เพราะคนอื่นคิดให้ทำ ตัวเราหาได้คิดทำอันตรายท่านไม่ สุมาสูจึงว่าทำเองแล้วสิใส่ความว่าคนอื่นเล่า โทษท่านผิดดังนี้แล้วจะคิดอ่านแก้ไขประการใด พระเจ้าโจฮองตกใจนัก ก็คุกเข่าย่อพระองค์ลง จึงว่าโทษข้าพเจ้าผิดแล้ว ขอให้ท่านอดโทษข้าพเจ้าเถิด

สุมาสูจึงว่า พระองค์เปนหลักแผ่นดิน ข้าพเจ้าหาทำอันตรายแก่พระองค์ไม่ เชิญพระองค์นั่งในที่เถิด ว่าแล้วก็ชี้หน้านางเตียวฮองเฮาด้วยกระบี่จึงว่า นางคนนี้เปนลูกเตียวอิบ จำจะฆ่าเสียให้ตายตามบิดา พระเจ้าโจฮองก็ทรงพระกรรแสง อ้อนวอนขอชีวิตนางเตียวฮองเฮา สุมาสูก็ไม่ฟังจึงให้ทหารคร่าเอาตัวไป ทหารพานางไปถึงประตูข้างทิศตวันออก ก็ให้นางเอาแพรพันฅอเข้า ทหารฉุดแพรข้างละคนนางก็ถึงแก่ความตาย

ครั้นเวลาเช้าสุมาสูจึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาพร้อมที่ ออกว่าราชการ จึงปรึกษาว่าพระเจ้าโจฮองไม่เอาพระทัยใส่ราชการบ้านเมือง มีแต่จะเล่นสนุก แล้วหาสติปัญญาไม่ มักเชื่อฟังคำคนยุยงจะให้บ้านเมืองเปนกุลี บัดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะยกพระองค์ออกเสียจากราชสมบัติ จะหาผู้ที่มีสติปัญญาควรจะว่าราชการแผ่นดินได้มาเปนเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการได

ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ท่านเปนมหาอุปราชความคิดกว้างขวางลึกซึ้งนัก ท่านตรึกตรองแล้วจึงเอามาปรึกษา ผู้ใดจะทัดทานท่านนั้นเห็นไม่มีแล้ว ด้วยท่านว่านี้ชอบด้วยการแผ่นดิน สุมาสูจึงพาขุนนางทั้งปวงเข้าไปเฝ้านางกวยทายเฮา ทูลเล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังแต่ต้นจนปลาย นางกวยทายเฮาจึงถามว่า ท่านจะยกท่านผู้ใดขึ้นเปนเจ้า สุมาสูจึงทูลว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นโจกี๋เปนเชื้อพระวงศ เปนเจ้าเมืองแพเสีย คนนี้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลมนัก เห็นควรจะเปนเจ้ารักษาแผ่นดินได้

นางกวยทายเฮาจึงว่ามัควร เราพิเคราะห์ดูเห็นว่าจะเอาอาว์มาเสวยราชย์แทนหลานนั้นยังหามีเยี่ยงอย่าง ธรรมเนียมไม่ เราเห็นโจมอหลานพระเจ้าโจผีเปนเจ้าเมืองงวนเสีย ฉลาดเฉลียวมีสติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่ ขอให้ท่านทั้งปวงปรึกษากันดู สุมาสูจึงทูลว่าท่านว่าทั้งนี้ชอบนัก ซึ่งจะยกราชสมบัติให้แก่โจมอนั้นเห็นควรอยู่แล้ว ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบด้วย สุมาสูก็ให้ทหารถือหนังสือไปเชิญโจมอมา แล้วจึงทูลนางกวยทายเฮาว่า ขอเชิญพระองค์ขึ้นไปที่ว่าราชการ จะได้ปรึกษาโทษพระเจ้าโจฮอง

นางกวยทายเฮาจึงขึ้นไปเชิญพระเจ้าโจฮองออกมาที่ว่าราชการแล้วจึงว่า เจ้าเสวยราชสมบัติไม่ต้องด้วยขนบธรรมเนียมกษัตริย์แต่ก่อน ตั้งใจแต่จะเสพย์สุราแล้วก็เมามัวไปด้วยการเล่นทั้งปวงแลสัตรี ไม่เอาใจใส่ราชการเลย ซึ่งจะ เปนเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัตนั้นไม่ควร แล้วขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงปรึกษาพร้อมกัน เห็นว่าเจ้าไม่ควรแก่ราชสมบัติแล้ว เจ้าเร่งเอาพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์มาคืนให้ขุนนางเขา จะได้ยกคนอื่นซึ่งมีสติปัญญาเปนเจ้าแผ่นดินสืบไป ฝ่ายตัวเจ้าให้ไปรับราชการคงที่เจอ๋องซึ่งพระบิดาตั้งไว้แต่ก่อนนั้น ถ้าไม่มีรับสั่งให้หาอย่าเข้ามาเปนอันขาดทีเดียว โจฮองเอาพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์มาส่งให้ แล้วกราบลานางกวยทายเฮาร้องไห้ออกไป มีขุนนางสี่ห้าคนระลึกถึงคุณโจฮอง กลั้นนํ้าตามิได้ก็ตามไปส่ง โจฮองก็พาอพยพครอบครัวออกไปอยู่ที่ของตัวเคยอยู่แต่ก่อนนั้น

ฝ่ายโจมอมาถึงประตูทิศเหนีอ สุมาสูก็ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยออกไปรับ ขุนนางไปถึงกระทำคำนับ โจมอก็ลงจากเกวียนกระทำคำนับขุนนางทั้งปวง ออกสกขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงว่า พระองค์อย่ากระทำคำนับข้าพเจ้าเลย โจมอจึงตอบว่าตัวข้าพเจ้านี้ก็เปนข้าแผ่นดิน จะมิคำนับท่านนั้นไม่ควร ขุนนางทั้งปวงอุ้มโจมอให้ขึ้นขี่เกวียนเข้าไปวัง โจมอก็ยำเกรงไม่ขึ้นเกวียน จึงว่านางกวยทายเฮามีรับสั่งให้หามาเฝ้า ซึ่งจะขี่เกวียนเข้าไปนั้นเห็นไม่ควรนัก ว่าแล้วก็เดิรไปจนถึงในวัง สุมาสูเห็นก็ออกไปต้อนรับ โจมอก็กราบลง สุมาสูยื่นมือทั้งสองพยุงโจมอขึ้นแล้วจึงปราสัยว่า ท่านยังค่อยเปนสุขอยู่หรือ ว่าแล้วก็พาเข้าไปเฝ้านางกวยทายเฮา ๆ จึงว่า เมื่อน้อย ๆ ข้าพิเคราะห์ดูเห็นประหลาท ทั้งกิริยามารยาทแลลักขณราศีดีนักแปลกเด็กทั้งปวง ข้าก็นึกอยู่ในใจว่าเจ้าจะ ได้เปนเจ้าแผ่นดินเปนมั่นคง บัดนี้ก็สมที่นึกไว้ ขุนนางทั้งปวงปรึกษาพร้อมกันจะให้เสวยราชสมบัติสืบเชื้อพระวงศ์ ถ้าเจ้าได้เปนเจ้าแผ่นดินแล้วจงตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต อุตส่าห์เอาใจใส่ในราชการทั้งปวง จะทำการสิ่งใดให้พิเคราะห์จงดี ให้รู้จักข้อผิดข้อชอบหนักเบา อย่ามัวเมาไปด้วยการเล่นแลสตรี จงทำตามชนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณีวงศ์กษัตริย์ซึ่งเสวยราชสมบัติมาแต่ก่อน

โจมอจึงทูลว่า ข้าพเจ้านี้สติปัญญาน้อยนัก หาควรแก่ราชสมบัติไม่ นางกวยทายเฮากับขุนนางทั้งปวงก็มิฟัง อ้อนวอนเชื้อเชิญจนถึงสามครั้งโจมอก็รับ สุมาสูกับขุนนางทั้งปวงก็เชิญโจมอไปยังที่เสด็จออกว่าราชการ ก็มอบพระแสงกระบี่แลตราสำหรับกษัตริย์นั้นให้แก่โจมอ ๆ ก็ได้ตั้งอยู่ในสมมุติกษัตริย์แต่นั้นมา จึงถวายพระนามชื่อว่า พระเจ้าเจงหงวน (พ.ศ. ๗๙๗) พระเจ้าโจมอก็ปล่อยนักโทษ แลเลิกส่วยสาอากรทั้งปวงตามประเพณีกษัตริย์เสวยราชสมบัติใหม่แต่ก่อนนั้น แล้วก็ให้สุมาสูเปนมหาอุปราช เมื่อเข้าเฝ้ามีคนถือเครื่องศัสตราวุธแห่เข้าไปจนถึงใกล้ที่เสด็จออก แล้วห้ามไม่ให้ถวายบังคม แต่กระทำคำนับแล้วก็นั่งอยู่ จะทูลความก็ห้ามมิให้ออกชื่อตัวเหมือนขุนนางทั้งปวง แล้วก็ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเลื่อนที่ตามสมควร

พระเจ้าโจมอเสวยราชย์ได้สองปี ครั้งถึงเดือนสาม ฝ่ายบู๊ขิวเขียม ชาวเมืองโหหลำไปเปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ได้ว่าเมืองห้วยหลำเมืองชิวฉุนด้วย รู้ข่าวว่าสุมาสูโอหังเนรเทศเจ้าแผ่นดินเสีย แล้วเอาคนหนึ่งมาตั้งขึ้นตามอำเภอใจเองก็มีความโกรธนัก บู๊ขิวเตี้ยนผู้เปนบุตรจึงว่าแก่บิดาว่า ท่านก็ได้เปนเจ้าเมืองมียศศักดิ์อาญาสิทธิ์อยู่กับมือ สุมาสูทำดังนิ้เรานิ่งเสียไม่ควร

บู๊ขิวเขียมจึงว่าเจ้าว่านี้ชอบนัก จึงให้เชิญตัวบุนขิมซึ่งเปนพรรคพวกของโจซองมาณหลังบ้านที่สงัด กระทำคำนับแล้วนั่งอยู่ยังมิทันจะเจรจาก็ร้องไห้ บุนขิมจึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้ บู๊ขิวเขียมก็เล่าเนื้อความทั้งปวงให้ฟังแล้วจึงว่า เหตุดังนี้แลข้าพเจ้าจึงมีความเจ็บแค้นนัก บุนขิมจึงว่า ท่านคิดจะทำการบำรุงแผ่นดินควรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าก็จะช่วย บุตรข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อบุนเซ็กกำลังมากนัก อาจสามารถจะสู้คนได้หมื่นหนึ่งมันก็คิดแค้นอยู่ จะใคร่กำจัดสุมาสูจะได้แก้แค้นโจซอง ถ้าเราจะยกไปเราตั้งให้เปนทัพหน้าเห็นจะมีชัยแก่ข้าศึก บู๊ขิวเขียมดีใจนัก จึงรินสุรามาใส่จอกลงตั้งสัตย์สาบาลต่อกันแล้ว ให้ไปเกลี้ยกล่อมนายทหารเมืองห้วยหลำว่า นางกวยทายเฮามีตรารับสั่งมาให้ทหารทั้งปวงไปพร้อมกัน ณ เมืองชิวฉุน ครั้นทหารมาพร้อมกันแล้ว จึงให้ตั้งโรงพิธีข้างทิศตวันตก ให้ฆ่าม้าขาวตัวหนึ่งเอาโลหิตมาเปนนํ้าพิพัฒน์สัจจาให้ทหารทั้งปวงกินแล้ว จึงว่า สุมาสูเปนขบถต่อแผ่นดิน นางกวยทายเฮามีรับสั่งมาให้ยกทัพไปกำจัดสุมาสูเสีย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นมีความยินดีนัก พร้อมใจกันที่จะกำจัดสุมาสู บู๊ขิวเขียมก็คุมทหารห้าหมื่นยกไปตั้งอยู่เมืองฮางเสีย บุนขิมคุมทหารสองหมื่นเปนทัพหนุน บู๊ขิวเขียมมีหนังสือไปถึงหัวเมืองขึ้นให้ยกทหารมาช่วย

ฝ่ายสุมาสูป่วยจักษุเปนต้อให้หมอมาตัดแล้วใส่ยารักษาอยู่หลายวัน พอม้าใช้มาแจ้งว่ากองทัพเมืองห้วยหลำยกมา จึงให้เชิญอองซกขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาปรึกษาว่า กองทัพบู๊ขิวเขียมยกมาเราจะคิดอ่านประการใด อองชกจึงว่า แต่ครั้งกวนอูทหารเอกฝีมือปรากฎทั้งแผ่นดิน ลิบองคิดอ่านเกลี้ยกล่อมครอบครัวทหาร ซึ่งอยู่ในเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็มีชัยชนะแก่กวนอู ครั้งนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้ไปเกลี้ยกล่อมครอบครัวทหารเมืองห้วยหลำซึ่งอยู่ ในแดนเมืองวุยก๊กได้แล้ว เราจึงยกกองทัพไปตั้งสกัดไว้ที่ทางบู๊ขิวเขียมจะกลับไป เห็นจะมีชัยชนะเปนมั่นคง

สุมาสูจึงว่าท่านว่านี้ชอบแล้ว แต่ว่าข้าพเจ้ายังป่วยอยู่มิไปได้เอง ซึ่งจะให้คนอื่นไปนั้นข้าพเจ้ายังไม่วางใจเลยเกรงจะเสียการ จงโฮยนายทหารผู้ใหญ่จึงว่า ทหารเมืองห้วยหลำเข้มแขงอยู่ ซึ่งจะให้ผู้อื่นไปนั้นเกรงจะต้านทานมิหยุด การครั้งนี้เปนการใหญ่ ถ้าผิดพลั้งจะมิเสียราชการไปหรือ สุมาสูก็มานะในใจยืนขึ้นจึงว่า ข้าป่วยเพียงนี้มิพอเปนไรจำจะไปเองจึงจะได้การ ก็ให้สุมาเจียวอยู่รักษาเมือง จึงให้จูกัดตุ้นนายทหารเปนแม่ทัพเมืองอิจิ๋วยกไปตีเมืองชิวฉุน ให้อ้าวจุ๋นนายทหารเปนแม่ทัพเมืองเซงจิ๋ว ยกไปสกัดอยู่ตำบลเจี๋ยวซองเปนทางข้าศึกจะกลับไป ให้อองตี๋นายทหารไปตีตำบลติ่นลำ ตัวสุมาสูเปนทัพหลวงขี่รถยกทัพไปตั้งอยู่เมืองซงหยง ขุนนางแลทหารทั้งปวงนั่งพร้อมกันคิดอ่านการซึ่งจะให้มีชัยแก่ข้าศึก

เตงโป้ที่ปรึกษาจึงว่า บู๊ขิวเขียมคนนี้มีสติปัญญาความคิดอยู่ แต่ว่าคิดอ่านการสิ่งใดก็หาตลอดไม่ ฝ่ายบุนขิมมีกำลังมากแต่ว่าหาปัญญาความคิดไม่ ฝ่ายทหารเมืองห้วยหลำมีฝีมือเข้มแขงกล้าหาญนัก เราเลินเล่อดูหมิ่นนั้นไม่ได้ ขอให้รักษาค่ายคูไว้ให้มั่นคง ถ้าเราเห็นกำลังข้าศึกร่วงโรยลงแล้ว จึงคิดอ่านตีให้ยับเยินอย่าให้ทันรู้ตัวเลย

อองกึ๋จึงว่า กองทัพขบถยกมาครั้งนี้ มิใช่ทหารทั้งปวงมีใจคิดอ่านมาเอง เปนเหตุเพราะบู๊ขิวเขียมคิดอ่าน ทหารทั้งปวงขัดมิได้ก็จำใจมา ถ้าเรายกกองทัพใหญ่เข้าตีก็เห็นว่าทหารทั้งปวงจะพลอยหนีกระจายไป สุมาสูจึงว่าท่านว่านี้ชอบแล้ว ก็เลื่อนกองทัพหลวงไปปลงอยู่ที่สะพานอิ๋นซุย อองกี๋จึงว่าเมืองลำเต๋งนั้นเปนที่คับขันมั่นคง เราจำจะเร่งรีบยกไปตั้งอยู่ก่อน ถ้าช้าอยู่ข้าศึกมาตั้งมั่นอยู่ก่อนแล้วเราจะหักเข้าเอาก็ยาก สุมาสูเห็นชอบด้วยก็ให้อองกี๋กองหน้ายกไปตั้งค่ายอยู่เชิงกำแพงเมืองลำเต๋ง

ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งอยู่ ณ เมืองอองเสีย รู้ว่าสุมาสูยกทัพมาจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวง กันหยงทหารกองหน้าจึงว่า ที่เมืองลำเต๋งนี้มีภูเขาแลแม่นํ้ากระหนาบอยู่เปนที่มั่นคงนัก ถ้าพวกสุมาสูตั้งอยู่ก่อนแล้วเห็นเราจะทำการเข้าไปยาก ขอท่านเร่งยกกองทัพไปตั้งอยู่ให้ได้ก่อน

บู๊ขิวเขียมก็ให้ยกกองทัพจะไปเมืองลำเต๋ง ไปหน่อยหนึ่งมีม้าใช้มาบอกว่า เมืองลำเต๋งนั้นทหารสุมาสูมาตั้งอยู่แล้ว บู๊ขิวเขียมยังไม่เชื่อยกกองทัพใกล้เข้าไป เห็นค่ายมั่นคงมีธงรายรอบอยู่ บู๊ขิวเขียมเห็นดังนั้นก็ถอยทัพกลับไปตั้งค่ายอยู่กลางทาง ม้าใช้มาบอกว่าทัพซุนจุ๋นเมืองกังตั๋งยกข้ามแม่นํ้ามาจะตีเมืองชิวฉุน บู๊ขิวเขียมก็ตกใจ ว่าถ้าเมืองชิวฉุนเปนอันตรายแล้วเราจะกลับไปอยู่ที่ไหนได้เล่า ก็ให้ล่าทัพมาในเวลากลางคืน มาตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองฮางเสีย

ฝ่ายสุมาสูแจ้งว่าบู๊ขิวเขียมล่าทัพถอยไปแล้ว จึงให้หาขุนนางมาปรึกษา เปาต้านจึงว่า บู๊ขิวเขียมล่าทัพถอยไปครั้งนี้ ด้วยกลัวทัพเมืองกังตั๋งจะวกหลังไปตีเมืองชิวฉุน เห็นทีจะถอยทัพไปอยู่เมืองฮางเสีย แล้วจะแบ่งปันทหารไปรักษาเมืองชิวฉุน ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารยกไปเปนสามกอง ไปตีเมืองงักแกเสียเมืองฮางเสียเมืองชิวฉุน ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารเมืองห้วยหลำก็จะถอยทัพไปเอง ท่านจงให้มีหนังสือไปถึงเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋ว เปนคนมีสติปัญญาความคิด ให้ยกไปช่วยตีเมืองงักแกเสียได้แล้ว เห็นจะปราบศัตรูได้โดยง่าย สุมาสูเห็นชอบด้วยก็ให้มีหนังสือไปถึงเตงงายว่า ให้ยกกองทัพไปตีเมืองงักแกเสีย เราก็จะยกตามไปด้วย

ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งอยู่เมืองฮางเสีย กลัวกองทัพสุมาสูจะยกมาตี ก็ให้ม้าใช้ไปสอดแนมฟังข่าวอยู่เนือง ๆ แล้วให้เชิญบุนขิมมา ณ ค่ายจึงปรึกษาว่า ข้าพเจ้าเกรงสุมาสูจะยกไปตีเมืองงักแกเสีย บุนขิมจึงว่า ข้าพเจ้ากับบุนเอ๋งขอทหารสักห้าพันจะไปรักษาเมืองงักแกเสียไว้ให้ได้ ท่านอย่าวิตกเลย บู๊ขิวเขียมดีใจจึงให้บุนเอ๋งพ่อลูกคุมทหารห้าพันยกไป ครั้นไปใกล้เข้ามีม้าใช้มาบอกว่า กองทัพเมืองวุยก๊กยกมาทหารประมาณหมื่นเศษมาตั้งอยู่ทิศตวันตก มีธงขาวปักเปนสำคัญ แลธงเทียวทั้งปวงนั้นเห็นมิใช่กองทัพนายทหาร เห็นจะเปนกองทัพเจ้ายกมา แต่ว่าธงสำคัญชื่อสุมาสู บัดนี้ตั้งค่ายอยู่ยังหาสำเร็จไม่ บุนเอ๋งขี่ม้ายืนอยู่ใกล้จึงว่าแก่บิดาว่า เขาตั้งค่ายอยู่ยังมิทันสำเร็จ ถ้าเรายกไปเปนสองกองตีกระหนาบเข้าเห็นจะได้โดยสดวก บิดาจึงถามว่าเราจะยกไปเวลาไรดี บุนเอ๋งจึงว่ายกไปคํ่าวันนี้แลเห็นจะได้ท่วงที บิดาคุมทหารครึ่งหนึ่งยกไปข้างทิศใต้ ข้าพเจ้าจะคุมทหารครึ่งหนึ่งไปตีข้างทิศเหนือ เวลาเที่ยงคืนให้ยกเข้าไปตีให้พร้อมกัน ครั้นเวลาคํ่าก็แยกทหารยกไปเหมือนหนึ่งคิดกันนั้น บุนเอ๋งคนนี้อายุได้สิบแปดขวบสูงได้ห้าศอก ใส่เกราะเหน็บกระบองเหล็กขี่ม้ายนตร์เข้าไปใกล้ค่ายสุมาสู

ฝ่ายสุมาสูตั้งทัพอยู่คอยทัพเตงงายก็ยังไม่มา ปวดจักษุเปนกำลังก็นอนอยู่ในเตียง ให้ทหารประมาณสามร้อยล้อมวงรักษาตัวอยู่ ครั้นเวลาเที่ยงคืนได้ยินเสียงทหารในค่ายเอิกเกริกวุ่นวายทั้งม้าทั้งคน จึงให้ทหารไปถามดู ก็ได้เนื้อความว่าทหารคนหนึ่งมีกำลังพะลังมากนัก ไม่มีผู้ใดจะต้านทานได้ ไล่ตีบุกรุกเข้ามาข้างทิศเหนือ สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตกใจนัก ให้ร้อนในอกเหมือนหนึ่งเพลิงเผา ก็โกรธขึ้นมา โรคในจักษุนั้นกำเริบขึ้น ลูกตาก็ปทุออกมา กลัวว่าทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจ ก็เอาผ้าผวยห่มนอนเข้ากัดเคี้ยวไปจนผ้าขาด

ฝ่ายบุนเอ๋งพาทหารแหกเข้าค่ายได้ ก็ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาสูล้มตายเปนอันมาก บุนเอ๋งบ่ายหน้าไปข้างไหนก็วินาศไปไม่มีผู้ต้านทาน ตีแต่ทิศเหนือฝ่ายเดียว ดูบิดาจะยกมาตีกระหนาบทางทิศใต้ก็ไม่เห็น ครั้นจะตีต่อเข้าไปอีกให้ถึงทัพหลวง ทหารสุมาสูยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้ดังห่าฝนแต่บุกรุกไล่อยู่จนสว่างก็หักเข้าไป ไม่ได้ ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ได้ยินเสียงแตรเสียงกลองสำหรับกองทัพ ก็ประหลาทใจคิดว่าเปนไรบิดาจึงไม่ยกมาข้างทิศใต้ ทำไมจึงยกมาทางเหนือ ก็ควบม้าไปดูจึงเห็นกองทัพเตงงาย ๆ ถือง้าวขี่ม้านำหน้ามาร้องว่า อ้ายขบถแผ่นดิน มึงอย่าหนีกูเร่งมาสู้กัน บุนเอ๋งได้ยินดังนั้นก็รำทวนเข้าไปสู้กันได้ประมาณห้าสิบเพลง ไม่ทันแพ้ชนะกัน เมื่อรบกันอยู่ทหารสุมาสูก็หนุนมาตีกระหนาบเข้าทั้งข้างหน้าข้างหลัง ฝ่ายทหารบุนเอ๋งน้อยตัวก็หลบหลีกหนีเอาตัวรอด ยังแต่บุนเอ๋งผู้เดียวก็รบแหวกทหารสุมาสูออกมาหนีไปข้างทิศใต้ ทหารม้าสุมาสูประมาณร้อยหนึ่งแต่ล้วนมีฝีมือ ก็ควบม้าไล่ติดตามไปจนถึงสะพานเมืองงักแกเสีย บุนเอ๋งเห็นทหารไล่กระชั้นมาจะใกล้ทันอยู่แล้ว ก็ชักม้ากลับไล่ร้องตวาดบุกบันเข้าสู้ ทหารทั้งปวงต่างคนต่างก็ถอย บุนเอ๋งก็กลับม้าค่อยเดิรไป ทหารสุมาสูคุมกันเข้าได้ปรึกษากันว่า ทหารคนนี้ห้าวหาญนัก เราพร้อมใจกันไล่จับตัวให้จงได้ คิดแล้วก็ควบม้าไล่ตามไป บุนเอ๋งก็กลับหน้าม้าเข้าสู้ จึงร้องตวาดว่า อ้ายพวกทหารหนูไม่กลัวความตาย ว่าแล้วก็จับกระบองเหล็กเข้าไล่ตีล้มตายเปนอันมาก แต่ทหารสุมาสูแตกแล้วกลับไล่ติดตามถึงสี่ครั้งห้าครั้ง บุนเอ๋งก็ตีล้มตายลงทุกครั้ง ทหารสุมาสูก็กลับไป

ฝ่ายบุนขิมยกทหารออกมากลางคืนวันนั้น อ้อมไปข้างเขาวกเวียนหลงทางไปหาหนทางซึ่งจะไปไม่ได้ยังรุ่ง ครั้นเวลาเช้าแลไปไม่เห็นทัพบุนเอ๋ง เห็นแต่ทัพสุมาสูมีชัยชนะบุกรุกไล่มามากนักเหลือกำลัง ก็ถอยทัพหนีไปทางเมืองชิวฉุน

ทหารสุมาสูคนหนึ่งชื่ออินต้ายบก เดิมเปนคนสนิธไว้ใจโจซอง ครั้นสุมาอี้ฆ่าโจซองเสียแล้ว ก็ไปอยู่กับสุมาสูคิดจะใคร่ฆ่าสุมาสูแทนคุณโจซอง แต่ก่อนนั้นกับบุนขิมคนนี้รักใคร่กันนัก ครั้นสุมาสูป่วยจักษุหนักยังหาคิดอ่านการได้ไม่จึงเข้าไปว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าบุนขิมคนนี้เปนคนสัตย์ซื่อ ซึ่งจะคิดการขบถต่อแผ่นดินนั้นหาเปนไม่ มาทำการครั้งนี้ก็เพราะขัดบู๊ขิวเขียมไม่ได้ ข้าพเจ้าจะขอไปเกลี้ยกล่อมบุนขิมก็จะยอมสมัคมาเข้าด้วยท่าน สุมาสูเห็นชอบด้วยก็ให้ไป

อินต้ายบกใส่เกราะขึ้นม้าตามบุนขิมไปใกล้เข้า แล้วร้องตะโกนเรียกบุนขิมว่าท่านเห็นเราหรือไม่ เราชื่ออินต้ายบก บุนขิมเหลียวมา อินต้ายบกจึงถอดหมวกวางลงบนหลังม้าเอาแซ่ชี้แล้วร้องว่า บุนขิมทำไมจึงยกทัพหนีไป จะรั้งรออยู่อีกสักหน่อยหนึ่งก็จะได้การ อินต้ายบกว่าทั้งนี้เพราะเห็นสุมาสูป่วยหนักจะใกล้ตายอยู่แล้ว จึงหน่วงบุนขิมไว้

ฝ่ายบุนขิมไม่รู้นํ้าใจอินต้ายบก ก็ร้องตะโกนด่าแล้วยกเกาทัณฑ์ขึ้นจะยิง อินต้ายบกเห็นดังนั้นน้อยใจนักก็ร้องไห้แล้วชักม้ากลับไป ฝ่ายบุนขิมพาทหารหนีไปทางเมืองชิวฉุน ครั้นรู้ว่าจูกัดเอี๋ยนทหารสุมาสูตีได้แล้วก็จะยกไปเมืองฮางเสีย เห็นทัพอ้าวจุ๋นแลอองกี๋เตงงายยกมาตั้งสกัดอยู่เปนสามกอง บุนขิมเห็นหักไปมิได้ก็ยกไปเมืองกังตั๋ง สมัคเข้าไปเปนข้าซุนจุ๋นซึ่งเปนมหาอุปราช

ฝ่ายบู๊ขิวเขียมตั้งอยู่เมืองฮางเสีย รู้ว่าเมืองชิวฉุนเสียแล้ว ทัพบุนขิมก็เสียแล้ว กองทัพสุมาสูก็ยกมาเปนสามทางมาตั้งอยู่ใกล้เมืองก็ยกทหารออกรบ แลเห็นเตงงายยกออกมาก็ให้กัดหยงออกสู้ยังไม่ทันถึงเพลง เตงงายฟันด้วยง้าวถูกกันหยงตาย แล้วก็คุมทหารบุกรุกไล่เข้าไป อ้าวจุ๋นอองกี๋ก็ยกทหารเข้ากระโจมตีทั้งสี่ด้าน บู๊ขิวเขียมเห็นจะสู้ไม่ได้ ก็พาทหารคนสนิธประมาณสิบคนหนีไปถึงเมืองซิมก๋วน ซองเป๊กเจ้าเมืองก็เปิดประตูรับเข้าไป แต่งโต๊ะเลี้ยงพอบู๊ขิวเขียมเมาสุราแล้วก็ฆ่าเสียตัดเอาสีสะไปให้สุมาสู

ครั้นสุมาสูปราบปรามข้าศึกราบคาบแล้ว ก็ตั้งจูกัดเอี๋ยนเปนทหารใหญ่ ได้ว่าราชการเมืองเองจิ๋วเมืองห้วยหลำทั้งปวงนั้น แล้วก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋ สุมาสูป่วยจักษุหนักให้เจ็บปวดเปนกำลัง เวลากลางคืนนอนไม่หลับ เคลิ้มม่อยไปหน่อยหนึ่งก็แลเห็นลิฮองแลเตียวอิบแลแฮเฮาเหียนสามคนมายืนอยู่ หน้าเตียงนอน ก็รู้ว่าตัวจะไม่รอดแล้ว จึงใช้คนไปเมืองลกเอี๋ยง หาสุมาเจียวมาก็ให้เข้าไปที่เตียงนอน สุมาเจียวเห็นพี่ชายป่วยหนักจะไม่รอดแล้วก็ร้องไห้ สุมาสูจึงสั่งว่า ข้าทำราชการมาก็ได้เปนที่มหาอุปราช อุตส่าห์รักษาตัวมาได้ไม่มีอันตราย เจ้าจะทำราชการแทนที่พี่สืบไป อุตส่าห์ระวังรักษาตัวจงดี ถ้ามีราชการเปนข้อใหญ่อย่าไว้ใจแก่ผู้อื่นจะเสียราชการ จะฉิบหายสิ้นทั้งโคตร สั่งเท่านั้นแล้วก็มอบตราให้แก่น้องชาย

ฝ่ายสุมาเจียวจะใคร่ให้พี่ชายสั่งความต่อไปอีก ความเวทนาในจักษุกำเริบหนักขึ้น สุมาสูก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังก็ขาดใจตาย เมื่อตายนั้นเดือนสี่ พระเจ้าโจมอเสวยราชย์ได้สองปีเศษ สุมาเจียวก็แต่งการศพพี่ชายตามประเพณี แล้วให้ไปกราบทูลพระเจ้าโจมอ ๆ ก็มีหนังสือไปให้สุมาเจียวตั้งอยู่ในเมืองฮูโต๋ป้องกันกองทัพเมืองกังตั๋ง สุมาเจียวก็ไม่เต็มใจอํ้าอึ้งอยู่ แต่ว่ามิรู้ที่จะตอบประการใด

จงโฮยจึงว่าแก่สุมาเจียวว่า ท่านมหาอุปราชพึ่งดับสูญ น้ำใจทหารทั้งปวงก็ยังมิราบคาบ ท่านจะตั้งอยู่เมืองฮูโต๋นี้ แม้มีคนคิดร้ายวุ่นวายขึ้นข้างในวัง ซึ่งจะไปกำจัดเสียนั้นเห็นจะมิทันที สุมาเจียวเห็นชอบด้วยก็ยกทหารไปตั้งอยู่ตำบลลกซุย พระเจ้าโจมอรู้ดังนั้นก็ตกใจนัก ขุนนางผู้ใหญ่ชื่อว่าอองซกจึงทูลว่า ขอให้พระองค์ตั้งให้สุมาเจียวเปนมหาอุปราช ว่าราชการแทนที่พี่ชายให้มีน้ำใจ พระเจ้าโจมอเห็นชอบด้วยก็ใช้ให้อองซกถือหนังสือไปหาสุมาเจียวมา จะตั้งให้เปนที่มหาอุปราช สุมาเจียวก็เข้าเฝ้าพระเจ้าโจมอ กระทำคำนับรับที่ก็ได้ว่าราชการทั้งแผ่นดินเหมือนพี่ชาย

ฝ่ายผู้สอดแนมราชการเมืองเสฉวน ครั้นรู้ว่าสุมาสูตายแล้ว จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เกียงอุย ๆ จึงเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วจึงว่า สุมาสูพึ่งตายสุมาเจียวได้เปนมหาอุปราชแทนพี่ชาย เห็นจะทิ้งเมืองลกเอี๋ยงไม่ได้ ด้วยพึ่งว่าราชการใหม่บ้านเมืองทั้งปวงยังไม่ราบคาบ ข้าพเจ้าขออาสาไปตีเมืองวุยก๊กเห็นจะได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มิรู้ที่จะขัดก็ยอมให้เกียงอุยไป เกียงอุยก็ลาออกไปเมืองฮันต๋งจัดแจงกองทัพที่จะยกไป

เตียวเอ๊กทหารผู้ใหญ่จึงห้ามว่า ขอบขัณฑเสมาเมืองเสฉวนก็น้อย เข้าปลาอาหารก็เบาบาง ซึ่งจะยกทัพไปทางไกลนั้นจะขัดสน ขอให้แต่งทหารไปรักษาหัวเมืองของเราไว้ให้ราษฎรอยู่เย็นเปนสุข ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้เห็นจะมีความเจริญแก่บ้านเมืองของเรา เกียงอุยจึงว่าท่านว่านี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แต่ครั้งก่อนเมื่อท่านมหาอุปราชยังไม่เข้ามาเปนข้าราชการก็ได้ว่าไว้ว่า แผ่นดินนี้ยังเปนสามส่วนอยู่ ครั้นเข้ามาทำราชการแล้ว ก็ยกไปตีเมืองวุยก๊ก ไปตั้งอยู่ที่เขากิสานถึงหกครั้ง ราชการยังไม่สำเร็จก็ดับสูญเสียกลางคัน เมื่อจะดับสูญก็ได้สั่งเราไว้ให้ทำการสืบต่อไป ครั้งนี้เราได้ท่วงทีแล้ว จำจะอาสาเจ้าแผ่นดินไปทำการสนองพระคุณตามประเพณีชาติทหาร ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เมืองวุยก๊กสิเปนอริกับเรามาก่อน จะยกไปตีให้ได้ในครั้งนี้

แฮฮัวป๋าจึงว่าท่านว่านี้ชอบแล้ว ขอให้ยกกองทัพไปทางเปาสิว เราไปตีเอาเมืองเจ้าเสเมืองลำอั๋นซึ่งเปนเมืองสำคัญได้แล้ว ก็จะได้หัวเมืองทั้งปวงโดยสดวก เตียวเอ๊กจึงว่า ท่านยกไปทำการครั้งก่อนนั้นเดิรทัพช้านัก จึงไม่ได้ชัยชนะก็กลับมา ในตำราพิชัยสงครามว่าไว้ว่า แม่ทัพแม่กองผู้ทำการสงครามจะยกไปตีเขาอย่าให้เขาทันรู้ตัวจึงจะมีชัย ถ้าเขารู้ตัวแล้วก็จะตระเตรียมการยุทธ์ไว้พร้อม ผู้ใดไปตีก็จะไม่สมคะเน ขอให้ท่านเร่งรีบยกไปอย่าให้ทันรู้ตัวเลย เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว เกียงอุยเห็นชอบด้วยก็ให้เกณฑ์ทหารให้สิ้นเชิง ได้ทหารหกสิบหมื่นยกไปทางเปาสิว

ครั้นไปถึงตำบลแม่น้ำเจ้าซุย กองสอดแนมมาบอกแก่เกียงอุยว่า อองเก๋งเจ้าเมืองยงจิ๋วแลต้านท่ายทหารรองคุมทหารเจ็ดหมื่นยกมา เกียงอุยจึงคิดอ่านอุบายให้ทหารผู้ใหญ่ยกไปเปนสองกองให้ไปตีวกหลัง เตียวเอ๊กกับแฮหัวป๋าก็ยกไป เกียงอุยก็ยกกองทัพข้ามแม่น้ำเจ้าซุยไปตั้งริมฝั่งข้างฟากตวันตก ฝ่ายอองเก๋งก็คุมทหารเข้าไปจะตี ครั้นยกกองทัพไปใกล้เข้าแล้วจึงร้องถามว่า เมืองวุยก๊กเมืองกังตั๋งเมืองเสฉวนสามเมืองนี้ตั้งอยู่เหมือนก้อนเส้า ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็มีความสุข เหตุอันใดท่านจึงยกกองทัพมาตีเรา

เกียงอุยจึงร้องว่า พระเจ้าโจฮองผิดชอบประการใด สุมาสูจึงยกออกเสียจากราชสมบัติ แล้วเอาผู้อื่นมาตั้งให้เปนเจ้า ขุนนางทั้งปวงเห็นชอบไปด้วยกันสิ้น เราอยู่ต่างเมืองเห็นว่าทำผิดประเพณีโบราณนัก จึงยกทัพมาทำโทษ หวังจะไม่ให้ข้าแผ่นดินดูเยี่ยงอย่างสืบไปเบื้องหน้า

อองเก๋งได้ฟังดังนั้นก็จนใจไม่รู้ที่จะตอบ ก็แลดูหน้านายทหารสี่คน โจเบ๊งหนึ่ง ฮั้วเอ๋งหนึ่ง เล่าตัดหนึ่ง จูฮองหนึ่ง แล้วจึงว่า กองทัพเสฉวนข้ามมาตั้งอยู่ฟากข้างนี้ ถ้าเสียแก่เราทหารจะตายในน้ำเปนอันมาก เกียงอุยคนนี้มีกำลังมากนัก ไม่เห็นหน้าผู้ใดจะต้านทานได้ เราเห็นแต่ท่านช่วยกันทั้งสี่คนพอจะรับรองได้อยู่ ถ้าเขาเสียทีถอยเราแล้ว ท่านจงพาทหารไล่บุกบั่นให้จงสามารถ ว่าแล้วก็ให้ทหารเข้ารบ เกียงอุยรบไปหน่อยหนึ่งก็ชักม้ากลับพาทหารหนีมาทางค่าย อองเก๋งเร่งรีบทหารไล่ติดตาม เกียงอุยถอยมาใกล้ริมนํ้าแล้ว พาทหารหนีเลียบฝั่งน้ำไปข้างตวันตก จึงร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ข้าศึกไล่มาใกล้อยู่แล้ว ทหารเราก็เปนเชื้อชาติทหารแต่ล้วนดี ๆ ฝีมือกล้าหาญ เคยทำการสงครามมาแต่ก่อน เหตุใดครั้งนี้จึงย่อท้อข้าศึกนัก ทหารอองเก๋งอยู่ข้างตวันออก

เตียวเอ๊กแฮหัวป๋ายกทหารมาซุ่มอยู่ ครั้นรู้ว่ารบกันอยู่แล้วก็ตีวกหลังเข้าไปกองหนึ่ง ตีข้างหน้าเข้าไปกองหนึ่ง เกียงอุยก็ตั้งสง่าทำฮึกฮักพาทหารไล่บุกบั่นเข้าไปทั้งสามกอง กันทหารอองเก๋งลงไปข้างแม่นํ้า ทหารอองเก๋งซึ่งลงไปก่อนกลัวน้ำรั้งรออยู่ ที่หนีลงไปข้างหลังทั้งม้าทั้งคนก็เหยียบยํ่ากันตายประมาณสองส่วน ที่หนีลงน้ำก็ตายเปนอันมาก ทหารเกียงอุยตัดสีสะเสียได้สักหมื่นเศษ

ฝ่ายอองเก๋งพาทหารร้อยเศษติหลีกออกไปได้ หนีไปทางเต๊กโตเสียเข้าในเมืองแล้วปิดประตูไว้ให้ทหารรักษามั่นคง เกียงอุยมีชัยชนะแล้วก็เลี้ยงดูทหารให้บำเหน็จรางวัล จึงปรึกษาว่าเราจะยกตามไปตีเมืองเต๊กโตเสีย ทหารทั้งปวงจะเห็นประการใด เตียวเอ๊กจึงห้ามว่า ท่านทำการครั้งนี้มีชัยปรากฎเกียรติยศอยู่แล้ว ขอให้งดแต่เพียงนี้เถิด จะทำการต่อไปอีกถ้าเพลี่ยงพลํ้าจะมิเสียไปหรือ เหมือนเขียนอสรพิษแล้วเขียนเท้าด้วยให้เห็นตีนงู

เกียงอุยจึงว่าท่านว่านี้ไม่ชอบ แต่ก่อนเรายกทัพมาทำการเสียทีเขาเปนหลายครั้ง ครั้งนี้เราอุตส่าห์มาอีกก็ได้ชัยชนะ ทหารเมืองวุยก๊กแตกครั้งนี้ยับเยินแหลกเหลวนัก นํ้าใจอ่อนอยู่แล้ว ถ้าเรายกไปตีอีก ทหารเราก็มีน้ำใจ เห็นจะได้เมืองเต๊กโตเสียโดยง่ายไม่ทันลัดนิ้วมือ เจ้าอย่าท้อใจเลย เตียวเอ๊กห้ามถึงสามครั้ง เกียงอุยไม่ฟังก็ยกทัพไปเมืองเต๊กโตเสีย

ฝ่ายต้านท่ายเสียทัพแก่เกียงอุยแล้ว ไปเกลี้ยกล่อมซ่องสุมทหารจะมาช่วยอองเก๋ง ครั้นเห็นเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋วคุมทหารหนุนมามีความยินดีนัก ออกไปรับเข้ามา เตงงายจึงว่า ท่านมหาอุปราชให้ยกกองทัพมาช่วย ต้านท่ายจึงว่า ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะให้มีชัย

เตงงายจึงว่า เกียงอุยมีชัยแก่เราที่ริมแม่นํ้าเจ้าซุยแล้ว ถ้าตั้งเกลี้ยกล่อมทหารสี่หัวเมืองในแว่นแคว้นนี้ได้แล้วทำการต่อเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นว่าเราจะขัดสน นี่เกียงอุยหาทำฉะนั้นไม่ ยกทัพตรงเข้าล้อมเมืองเต๊กโตเสียทีเดียว เราจะกลัวอันใดด้วยเมืองเต๊กโตเสียมั่นคงนัก ถึงจะตีก็หาได้ไม่ ถ้าเรายกกองทัพซุ่มอยู่เขาฮางเนีย คอยเมื่อกองทัพเกียงอุยยกมา แล้วให้ล่อลวงด้วยกลก็จะหนีไปเปนมั่นคง หาพักรบพุ่งไม่

ต้านท่ายเห็นชอบด้วยก็ให้เกณฑ์ทหารยี่สิบกอง ๆ ละห้าสิบคน จึงให้ตระเตรียมพลุแลประทัดจงมาก ให้ซุ่มอยู่ซอกเขาฮางเนีย ถ้าทัพเกียงอุยยกมาให้จุดพลุประทัดทิ้งแล้วให้โห่ร้องอื้ออึงจงหนัก

ฝ่ายเกียงอุยให้ตั้งค่ายแปดค่ายล้อมเมืองเต๊กโตเสีย ให้ทหารปีนกำแพงทำลายป้อมถึงเก้าวันสิบวันแล้วก็หักเข้าไปมิได้ จนใจมิรู้ที่จะคิดอ่านต่อไปรำคาญใจนัก ครั้นเวลาคํ่ากองสอดแนมให้ม้าใช้มาบอกว่า กองทัพยกมาเปนสองกอง ธงอันหนึ่งมีหนังสือสำคัญว่าต้านท่ายเจียงอ้ายจงกุ๋น ธงอันหนึ่งว่าเตงงายเจ้าเมืองกุนจิ๋ว เกียงอุยตกใจให้หาขุนนางมาปรึกษา

แฮหัวป๋าจึงว่า เตงงายคนนี้มีฝีมือรบพุ่งก็กล้าหาญ มีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม เกียงอุยจึงว่า กองทัพเขายกมาไกลทหารเหนื่อยระส่ำระสายอยู่ เราเร่งยกเข้าตีเห็นจะได้ท่วงที อย่าให้ทันตั้งค่ายมั่นลงได้ ว่าแล้วให้เตียวเอ๊กคุมทหารเข้าตีเมือง ให้แฮหัวป๋าไปตีต้านท่าย ฝ่ายเกียงอุยก็ไปตีเตงงาย ยกไปได้ประมาณสักห้าสิบเส้นได้ยินเสียงพลุประทัด เสียงคนโห่ร้องเสียงกลองอื้ออึงสนั่น แลไปเห็นธงปักรายรอบดาษไปก็ตกใจนัก คิดว่าถูกกลศึกเตงงายแล้ว เห็นจะเสียทีก็ถอยทัพ จึงให้ม้าใช้ไปหากองทัพเตียวเอ๊กให้เลิกกองทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง ฝ่ายเกียงอุยอยู่ระวังหลัง ครั้นถอยมาถึงด่านเกียมก๊ก จึงรู้ว่ากองทัพซึ่งล้อมตัวเข้าไว้มากมายอยู่นั้น เปนกลศึกของเตงงายทำล่อลวงให้เสียนํ้าใจ จึงพานายทัพนายกองทั้งปวงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน จึงทูลเรื่องราวซึ่งตัวไปทำการนั้นแต่ต้นจนปลาย

พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นเกียงอุยมีชัยได้ความชอบมา จึงให้เลื่อนที่เปนไต้จงกุ๋น เกียงอุยทูลลาไปถึงเมืองแล้วมีน้ำใจโกรธเตงงายนัก ก็ให้ทหารตระเตรียมม้าแลศัสตราวุธแลเครื่องสรรพยุทธ์พร้อมแล้วให้มีหนังสือ เข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ว่าจะขอไปตีเมืองวุยก๊กอีกครั้งหนึ่ง

ฝ่ายอองเก๋งรู้ว่าเกียงอุยล่าทัพหนีไปเพราะเตงงายมาช่วย จึงให้มาเชิญเข้าไปกินโต๊ะในเมือง แล้วก็ให้แต่งหนังสือบอกความชอบเตงงายไปทูลแก่พระเจ้าโจมอ ๆ ก็ให้ตั้งเตงงายเปนอันไสจงกุ๋นคุมทหารอยู่รักษาเมืองเองจิ๋วกับต้านท่าย เตงงายออกไปกระทำคำนับรับตราตามอย่างธรรมเนียม ต้านท่ายก็ให้เชิญเตงงายไปกินโต๊ะแล้วจึงว่าทหารเมืองเสฉวนแพ้ความคิดท่าน ครั้งนี้เห็นจะไม่ยกมาอีกแล้ว เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าทหารเมืองเสฉวนจะยกมาอีกด้วยเหตุถึงห้าประการ ต้านท่ายจึงถามว่าเหตุห้าประการนั้นคืออันใดข้าพเจ้าจะขอฟัง เตงงายจึงว่า เหตุเปนประถมนั้น คือทหารเมืองเสฉวนหนีไปก็จริง แต่ว่าไม่เสียรี้พลแลมีชัยชนะไว้ก่อน ได้ม้าศัสตราวุธของเราไปเปนอันมาก ฝ่ายข้างเรามีชัยให้เขาหนีไปได้ก็จริง แต่ว่าเสียรี้พลมากนัก เหตุเปนคำรบสองนั้น คือทหารเมืองเสฉวนได้แบบอย่างขงเบ้งฝึกสอนไว้ชัดเจนพร้อมเพรียงชำนิชำนาญใน การสงครามนัก ทหารข้างเราหาชำนิชำนาญเหมือนเขาไม่ เหตุคำรบสามนั้น คือทหารเสฉวนยกมาข้างทางบก ทางเรือบันทุกลำเลียงมาส่ง หาลำบากแก่ทหารไม่ ทหารฝ่ายข้างเรายกมาแต่ทางบก ลำบากด้วยสเบียงอาหารนัก เหตุเปนคำรบสี่นั้น คือที่เมืองเต๊กโตเสียเมืองหลงเส เมืองลำอั๋นเขากิสานเหล่านี้กว้างขวางนัก ทหารเสฉวนได้มาเนือง ๆ รู้แห่งทุกตำบล แยกย้ายรายกันมาทุกทาง ทหารเรารักษายากนัก เหตุเปนคำรบห้านั้น คือทหารเสฉวนจะยกทัพมาทำการครั้งไร ก็มาอาศรัยสเบียงอาหารในเมืองเกี๋ยงเปนกำลังทุกครั้ง ข้าพเจ้าเห็นเหตุห้าประการดังนี้ จึงว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะยกมาอีกเปนมั่นคง ต้านท่ายจึงสรรเสริญว่า ท่านมีสติปัญญาสอดส่องล่วงรู้ไปดังนี้จะกลัวอันใดแก่ข้าศึก ว่าแล้วต้านท่ายกับเตงงายก็ตั้งสัตย์สาบาลเปนพี่น้องกันตราบเท่าจนวันตาย แล้วก็ให้ทหารทั้งปวงฝึกสอนการสงครามให้ชำนาญทุกประการ จึงให้ทหารไปตั้งค่ายรายอยู่รักษาด่าน ซึ่งเปนที่คับขันมั่นคงทุกตำบล

ฝ่ายเกียงอุยให้เชิญทหารมากินโต๊ะแล้วจึงปรึกษาว่า เราจะยกไปทำการกับเมืองวุยก๊กครั้งนี้จะเปนประการใด โหรคนหนึ่งชื่อว่าฮวนเกี้ยนจึงว่า ท่านยกทัพไปครั้งก่อนได้ชัยชนะมีเกียรติยศปรากฎไว้ ทหารวุยก๊กเกรงกลัวได้เปนศักดิ์ศรีแก่เมืองเสฉวนอยู่แล้ว ท่านจะยกไปอีกครั้งนี้ถ้าเพลี่ยงพลํ้าเสียทีก็จะพลอยให้เกียรติยศครั้งก่อน นั้นเสียไป เกียงอุยจึงว่าท่านทั้งปวงว่านี้ ด้วยเห็นว่าแดนเมืองวุยก๊กนั้นกว้างขวาง แล้วมีทแกล้วทหารมากนักจึงเกรงกลัว ฝ่ายข้าพเจ้าเห็นว่ากองทัพเราได้เปรียบเมืองวุยก๊กมากนัก ด้วยเหตุถึงห้าประการ จึงไม่เกรงเลย

ทหารทั้งปวงจึงถามว่า เหตุห้าประการนั้นสิ่งใดบ้าง เกียงอุยจึงพรรณนาเหตุห้าประการนั้นให้ฟัง ก็เหมือนเตงงายว่าแก่ต้านท่ายนั้น แล้วจึงว่าข้าพเจ้าเห็นได้เปรียบถึงเพียงนี้ จึงเต็มใจที่จะไปตีเมืองวุยก๊ก เมื่อกระนี้มิไปจะไปเมื่อไรเล่า แฮหัวป๋าจึงว่า เตงงายคนนี้เปนเด็กอยู่ก็จริง แต่ว่ามีสติปัญญาหลักแหลมนัก ครั้งนี้ก็ได้เปนที่อันไสจงกุ๋นแล้ว เห็นจะจัดแจงทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองแลด่านทาง ซึ่งเปนที่คับขันมั่นคงยิ่งกว่าเก่า เราอย่าดูถูกจะเสียการ

เกียงอุยได้ยินดังนั้นโกรธนัก ร้องตวาดไปว่าจะทำการใหญ่สิมาพูดอย่างนี้ให้ทหารทั้งปวงเสียนํ้าใจ ใครอย่าห้ามปรามเลยข้าพเจ้าไม่ฟัง ว่าแล้วก็สั่งให้ยกกองทัพ ตัวคุมทหารเปนกองหน้ายกไป ทหารทั้งปวงก็ยกตามมาถึงตำบลเขากิสาน กองสอดแนมจึงให้ม้าใช้มาบอกว่า ทหารเมืองวุยก๊กมาตั้งค่ายสกัดทางอยู่เก้าค่าย เกียงอุยก็ไม่เชื่อ จึงขี่ม้าพาทหารขึ้นบนเนินเขา แลเห็นค่ายรายกันไปเปนท่วงทีเหมือนอสรพิษมีสีสะแลหางคอยวกกระหวัดรัดคน จึงว่าแฮหัวป๋าว่าไว้ก็สมคำ เตงงายคนนี้ความคิดดีนัก พิเคราะห์ดูเห็นประหนึ่งคล้ายคลึงท่านมหาอุปราชอาจารย์ของเรา ซึ่งเราจะหักโหมเข้าไปไม่ได้เห็นจะเสียที ชรอยเตงงายอยู่ในค่ายอันนี้เปนมั่นคง ว่าแล้วพาทหารกล้บมาก็ให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ปากทาง จึงสั่งให้ทหารออกลาดตะเวนเปนห้าพวก ๆ ละห้าร้อย แต่งตัวแปลก ๆ ถือธงห้าอย่าง สีเขียวขาวเหลืองแดงดำไม่ให้เหมือนกัน แล้วตั้งเปาเชานายทหารให้อยู่รักษาค่าย จึงกำชับว่าท่านรักษาให้จงดี ตัวข้าพเจ้าจะยกทัพไปตีเมืองลำอั๋น

ฝ่ายเตงงายรู้ว่ากองทัพเมืองเสฉวนยกมาตั้งอยู่ปากทางช่องแคบหลายวันแล้ว มิได้ยกมาตี มีแต่ทหารมาเที่ยวลาดตะเวนหนทางร้อยหนึ่งร้อยห้าสิบแล้วก็กลับไป ผลัดเปลี่ยนกันมาวันละห้าพวก แต่งตัวแปลก ๆ กันถือธงก็ต่างสีกัน จึงขี่ม้าพาทหารขึ้นไปดูบนเนินเขา แลเห็นค่ายแล้วกลับลงมาบอกแกต้านท่ายว่า ข้าพเจ้าคะเนว่าเกียงอุยหาอยู่ในค่ายไม่ ต่อจะยกไปตีเมืองลำอั๋นมั่นคง ทหารซึ่งยกมาลาดตะเวนนั้นก็เบาบาง ขอให้ท่านยกไปตีค่ายเอาให้ได้ แล้วตั้งสกัดอยู่ต้นทาง ข้าพเจ้าจะยกไปช่วยเมืองลำอั๋น ถ้าเกียงอุยถอยแล้วข้าพเจ้าจะรีบไปตั้งอยู่เขาบูเสียงสัน แล้วจะซุ่มทหารไว้สองฟากทางที่ช่องแคบ ถ้าเกียงอุยยกมาที่นั้นจะยกตีกระหนาบเข้า เห็นจะเสียทีแก่เราฝ่ายเดียว

ต้านท่ายจึงว่า ข้าพเจ้ามาอยู่หัวเมืองหลงเสนี้ช้านานประมาณยี่สิบสามสิบปีแล้ว ยังหารู้จักแผนที่ทั้งปวงไม่ ท่านอยู่หาอื่นเหตุใดจึงรู้จักทุกแห่งทุกตำบลเหมือนเทวดา ท่านว่าทั้งนี้ชอบนักเร่งยกไปเถิด ข้าพเจ้าจะเข้าหักเอาค่ายให้ได้ เตงงายยกทัพไปตามทางลัด เร่งรีบไปถึงเขาบุเสียงสันก่อนเกียงอุย ก็ตั้งค่ายมั่นอยู่บนเนินเขานั้น เตงงายจึงให้เตงต๋งผู้บุตรกับสุเมานายทหารคุมทหารคนละห้าพัน สั่งให้ยกไปตั้งอยู่ที่ซอกเขาตำบลตวนโกะ นายทหารสองคนก็ยกไปซุ่มอยู่ ในค่ายเตงงายห้ามปากเสียงสงบเหมือนไม่มีคน ธงก็มิให้ปักไว้

เกียงอุยยกไปถึงหน้าเขาบูเสียงสันทางจะไปเมืองลำอั๋น จึงว่าแก่แฮหัวป๋าว่าเขาอันนี้เปนที่คับขันมั่นคงนัก ถ้าเราเข้าตั้งค่ายอยู่ได้จะได้เมืองลำอั๋นโดยง่าย แต่ว่าข้าพเจ้าเห็นว่าเตงงายมีความคิด จะยกมาตั้งสกัดอยู่ก่อน พอสิ้นคำก็ได้ยินประทัดแลเสียงกลองเสียงคนโห่ร้องยกลงมาจากเขา แลเห็นธงมีหนังสือสำคัญว่าเตงงาย กองหน้าตกใจนัก เกียงอุยก็ยกหนุนขึ้นไป ทหารเตงงายก็ถอยไป เกียงอุยก็ไล่ติดตามไปถึงหน้าค่าย ให้ทหารร้องท้าทายเปนข้อหยาบช้า ให้เตงงายออกมารบ เตงงายก็ตั้งมั่นไว้ไม่ออกมา เกียงอุยจะหักเข้าไปมิได้ จึงให้ทหารไปตัดไม้ขนศิลามาจะตั้งค่ายประชิด ทหารเตงงายยกออกมาไล่ตีทหารเกียงอุยวุ่นวายจะตั้งค่ายก็มิได้ ก็ถอยทัพกลับไปค่ายเก่า ครั้นเวลารุ่งเช้าเกียงอุยจึงยกทหารไปตั้งค่ายอยู่ที่เขาบูเสียงสัน ค่ายยังไม่ทันมั่น เวลายามเศษเตงงายก็ให้ทหารห้าร้อยเอาเชื้อเพลิงมาเผาค่ายขึ้นได้ก็เข้าตี วุ่นวายขึ้น ตั้งค่ายไม่ได้เกียงอุยก็เลิกทัพมา จึงปรึกษาด้วยแฮหัวป๋าว่า เราจะยกไปตีเมืองลำอั๋นเห็นจะไม่ได้แล้ว เราจะรบเอาเมืองเสียงเท่งเถิดเปนที่ไว้สเบียงอาหาร ตีได้แล้วจะได้เปนกำลังราชการ เมืองลำอั๋นก็จะพลอยได้โดยง่าย ข้าพเจ้าจะยกไปตีเมืองเสียงเท่ง ท่านอุตส่าห์ตั้งค่ายมั่นไว้แต่ไกลให้เตงงายระวังอยู่ ว่าแล้วเกียงอุยก็ยกทหารไปในกลางคืนวันนั้น ครั้นรุ่งสว่างแลเห็นเขาเปนช่องแคบกันดารนัก จึงถามผู้นำทางว่าเขาอันนี้ชื่อไร ผู้นำทางจึงบอกว่าชื่อเขาตวนโกะ เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเขาอันนี้เปนที่คับขันชื่อเสียงก็ร้ายอยู่หาดีไม่ ถ้าข้าศึกมาสกัดอยู่ทางที่จะกลับไปเราจะมิขัดสนหรือ ว่าแล้วก็อํ้าอึ้งอยู่ มืกองสอดแนมมาบอกว่าเห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นข้างหลังเขา ชรอยจะมีกองทัพมา เกียงอุยได้แจ้งดังนั้นจะถอยทัพกลับมา ฝ่ายสุเมากับเตงต๋งยกทหารออกตีกระหนาบไล่มา เกียงอุยก็รบพลางหนีพลางค่อยถอยมา ฝ่ายเตงงายก็ยกทัพตีสกัดไว้ กองทัพทั้งสามตีระดมเข้าพร้อมกัน ทหารเกียงอุยระส่ำระสายล้มตายเปนอันมาก พอแฮหัวป๋ายกทัพมาตีกระหนาบเข้าไป ทัพเตงงายก็ถอยไป เกียงอุยก็ออกมาหาแฮหัวป๋าได้ จะพากันยกกลับไปค่ายเขากิสาน แฮหัวป๋าจึงบอกว่า ต้านท่ายยกมาตีเขากิสานแตก เปาเชานายทหารก็ตาย ทัพนั้นก็ล่าไปเมืองฮันต๋งแล้ว เกียงอุยก็จนใจมิรู้ที่จะคิดอ่านการสืบไป ก็ให้ล่าทัพกลับมาทางน้อยริมเขา เตงงายก็ยกทัพไล่ติดตามมา เกียงอุยก็ให้กองทัพทั้งปวงมาก่อน ตัวลงอยู่รั้งหลัง ครั้นยกถอยมาถึงริมเขาต้านท่ายซุ่มทหารอยู่ที่นั้นเห็นกองทัพเกียงอุยยกมาก็ พาทหารออกตีสกัดไว้ ทหารเตงงายต้านท่ายล้อมทัพเกียงอุยเข้าไว้ ฆ่าทหารเกียงอุยตายเปนอันมาก ฝ่ายเกียงอุยจะหักออกไปด้านไหนก็มิได้ เตียวหงีทหารเกียงอุยยกทหารมาถึงเข้าเห็นดังนั้น ก็พาทหารประมาณสามร้อยกระโจมตีเข้าช่วยเกียงอุย ๆ ก็ตีออกมาได้ ฝ่ายเตียวหงีก็ถูกเกาทัณฑ์ตายในที่รบ เกียงอุยพาทหารเหลือตายหนีไปเมืองฮันต๋ง แล้วระลึกถึงคุณเตียวหงีนัก ว่าเปนคนสัตย์ซื่อสามิภักดิ์ทำราชการจนตายในการศึก จึงให้บำเหน็จรางวัลแก่บุตรภรรยาแลลูกหลานว่านเครือ แล้วจัดแจงผู้ซึ่งได้ราชการมาตั้งเปนนายทหารแทนที่เตียวหงี

เกียงอุยจึงปรึกษาโทษตัวเองว่า เรายกทัพไปทำการครั้งนี้ เสียทหารแลม้าศัสตราวุธมากมายโทษอันนี้ใหญ่หลวงนัก เราจะทำโทษตัวเหมือนอย่างมหาอุปราชเสียเกเต๋งแก่สุมาอี้นั้นจึงจะควร ว่าแล้วก็แต่งเรื่องราวปรับโทษถอดเสียจากที่ยศฐาศักดิ์ แต่ว่าได้ว่าราชการเปนนายทหารทั้งปวง ไปถวายแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยน

ฝ่ายเตงงายกับต้านท่ายครั้นทัพเมืองเสฉวนหนีไปแล้ว ก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงนายทัพนายกองแลให้รางวัลแก่ทหารทั้งปวงตามสมควร ต้านท่ายจึงให้มีหนังสือบอกยกความชอบเตงงายไปถึงสุมาเจียว ๆ ก็ให้มีตราไปตั้งเตงงายเลื่อนที่ขึ้นไป บุตรเตงงายก็ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ครั้งนั้นพระเจ้าโจมอเสวยราชยํได้สามปี (พ.ศ. ๗๙๙) ชื่อเมืองแต่ก่อนนั้นชื่อว่าไกเจ้ง ครั้งนั้นให้แปลงใหม่ชื่อว่ากำลอ

(๑) มีในเรื่องไคเพ็ก

Download

กรุณาแสดงความคิดเห็น

ชื่อ

กวนอู,67,การ์ตูน,19,การเมือง,77,กิจกรรม,17,เกม,160,ขงเบ้ง,94,ของสะสม,40,ข่าวสาร,117,คำคมสามก๊ก,77,จิวยี่,5,จูล่ง,21,โจโฉ,66,ซุนกวน,7,เตียวหุย,11,เนื้อหาสามก๊ก,5,บทความ,353,บุคคลภาษิตในสามก๊ก,12,แบบเรียน,8,ปรัชญา,45,เพลง,41,ภาพยนตร์,53,รูปภาพ,67,ลิโป้,9,เล่าปี่,18,วิดีโอ,65,วิธีคิดวิธีทำงาน,13,เว็บไซต์,14,สถานที่,21,สามก๊ก12,14,สามก๊ก13,32,สามก๊ก14,3,สามก๊ก2010,95,สามก๊ก8,1,สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน),87,สุมาอี้,15,หงสาจอมราชันย์,13,หนังสือ,173,อาวุธ,7,แอป,43,Dynasty Warriors,57,E-book,87,
ltr
item
สามก๊กวิทยา : Three Kingdoms Academy: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 81
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4e1AivFWRyDY_HOdqVmNropFqR878CDog-pSFkxBwDhPD1b3-bT3Q6OfJqN12d6b1bPh23qM9_I4Fx2UHWxvB3i2I6nM4X-WcvlN1mbXXVbtJA7JORAaTCFg7YQFzVCEH9lKaXUhOCcQ/w452-h640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2598%25E0%25B9%2591.jpg
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4e1AivFWRyDY_HOdqVmNropFqR878CDog-pSFkxBwDhPD1b3-bT3Q6OfJqN12d6b1bPh23qM9_I4Fx2UHWxvB3i2I6nM4X-WcvlN1mbXXVbtJA7JORAaTCFg7YQFzVCEH9lKaXUhOCcQ/s72-w452-c-h640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2598%25E0%25B9%2591.jpg
สามก๊กวิทยา : Three Kingdoms Academy
https://www.samkok911.com/2017/02/81.html
https://www.samkok911.com/
https://www.samkok911.com/
https://www.samkok911.com/2017/02/81.html
true
4216477688648787518
UTF-8
โหลดเนื้อหาทั้งหมด ไม่พบเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ดูทั้งหมด อ่านเพิ่ม ตอบ ยกเลิกการตอบ ลบ โดย หน้าแรก หน้า โพสต์ ดูทั้งหมด เรื่องแนะนำสำหรับคุณ หมวดหมู่บทความ เนื้อหาในช่วงเวลา ค้นหา บทความทั้งหมด ไม่พบเนื้อหาที่คุณต้องการ กลับหน้าแรก Sunday Monday Tuesday Wednesday Thursday Friday Saturday Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat January February March April May June July August September October November December Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec just now 1 minute ago $$1$$ minutes ago 1 hour ago $$1$$ hours ago Yesterday $$1$$ days ago $$1$$ weeks ago more than 5 weeks ago Followers Follow THIS PREMIUM CONTENT IS LOCKED STEP 1: Share to a social network STEP 2: Click the link on your social network Copy All Code Select All Code All codes were copied to your clipboard Can not copy the codes / texts, please press [CTRL]+[C] (or CMD+C with Mac) to copy สารบัญ