“การรุกคือการตั้งรับที่ดีที่สุด” เป็นปรัชญาทางการทหารที่มีอยู่จริง และมีใช้จริงในยุคสามก๊ก โดยนักการทหารชั้นเอกอย่าง “เกียงอุย” ปัจจัยต่าง ๆ ของเมืองเสฉวน ไม่เอื้ออำนวยให้เป็นฝ่ายรับ เกียงอุยจำจำเป็นต้องกระทำตนเป็นฝ่ายรุก นั่นคือการริเริ่ม การชิงความได้เปรียบ การแปรเปลี่ยนสภาพ จากผู้ที่ควรถูกกระทำให้กลายเป็นผู้กระทำ เกียงอุยเลือกเป็นผู้สร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายศัตรูต้องตามแก้ “จ๊กก๊ก” จึงดำรงอยู่ได้โดยไม่มีขงเบ้งถึง 30 ปี …
"The best form of defense is attack."
- Karl von Clausewitz -
เคราเซวิซ
"The best form of defense is attack." หรือ “การตั้งรับที่ดีที่สุดคือการรุก” เป็นทัศนะเชิงสงคราม ทัศนะหนึ่งในตำราพิชัยสงคราม “On War” ของสุดยอดนักการทหารชาวยุโรปท่านหนึ่ง นามว่า คาร์ล เคราเซวิซ (Carl von Clausewitz ; 1 กรกฎาคม 2323 - 16 พฤศจิกายน 2374)![]() |
คาร์ล เคราเซวิซ |
แซมบ้า บราซิล
![]() |
FIFA World Cup 2014 : Brazil |
ยุคสิ้นพญามังกร
"การรุกเพื่อรับ" คือการรุกเพื่อชิงเอาความได้เปรียบ เป็นการรุกเพื่อหวังผลรวมถึงการตั้งรับด้วย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าฝ่ายเราไม่เหมาะต่อการเป็นฝ่ายรับ ในสงครามผู้ที่ทำการรุก คือผู้ที่มีความพร้อมมากกว่า ฝ่ายรุกจะเป็นผู้เลือกสมรภูมิ เป็นผู้กำหนดจุดเป็นจุดตายในสนามรบ ทำให้ฝ่ายรับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะต้องคอยตามเกม ตามสถานการณ์ที่ฝ่ายรุกกำหนดคำนิยามของการรุกเพื่อรับนั้น อาจจะไม่มีใช้ในตำราพิชัยสงครามของจีน แต่หากประเมินตามสิ่งที่เกิดขึ้น การรุกเพื่อรับก็คือกลยุทธ์การล่อลวงลักษณะหนึ่ง และเมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ในยุคสามก๊ก ก็จะเห็นว่า "การรุกเพื่อรับ" นี้คือยุทธศาสตร์ที่ “เกียงอุย” นำมาใช้ เพื่อรักษาแผ่นดิน "จ๊กก๊ก" ให้ดำรงอยู่ได้หลังจากที่สิ้น “ขงเบ้ง” ไปแล้ว นานถึง 30 ปี
![]() |
ยุคสิ้นพญามังกรขงเบ้ง - เกียงอุยต้องรับผิดชอบการดำรงอยู่ของ จ๊กก๊ก |
นับตั้งแต่เล่าปี่เชิญขงเบ้งลงจากเขาโงลังกั๋ง ขงเบ้งมีระยะเวลาเฉิดฉายอยู่ในเรื่องสามก๊กแค่ 27 ปี แต่เกียงอุย ลูกศิษย์เอกของขงเบ้ง สามารถรับช่วงดูแลจ๊กก๊กได้ถึง 30 ปี ทั้ง ๆ ที่จ๊กก๊กแทบจะหมดสิ้นคนดีมีฝีมือที่เคยร่วมกันสร้างประเทศขึ้นมา
รวมทั้งเมื่อเทียบกำลังกันกับวุย หรือง่อก๊กแล้ว จ๊กก๊กแทบไม่มีอะไรไปสู้ได้ เพราะตัวผู้นำอย่าง “อาเต๊า” เล่าเสี้ยนก็ไม่เอาไหน ประชาชนพลเมืองก็รักความสุขสงบ พื้นที่รอบ ๆ ด้านก็มีแต่คนป่าคนดอย .... เมื่อคิดดูแล้ว หากวุยหรือง่อก๊ก ยกทัพมาตีเสฉวนเมื่อใด จ๊กก๊กจะต้องพังพินาศเมื่อนั้น อย่างแน่นอน
ยุทธศาสตร์ของเกียงอุย
![]() |
เกียงอุยในวัยชรา |
ด้วยสภาพแวดล้อม ลักษณะของผู้นำและเหล่าขุนนางที่รักความสุขสบาย การเมืองภายในเป็นสิ่งที่เกียงอุยเข้าไม่ถึง เพราะเขาเป็นคนจากเมืองอื่น เป็นดังนักการเมืองย้ายค่าย (เคยอยู่ฝ่ายวุยก๊กมาก่อน) เขาไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก คงเหลือแต่เพียงอำนาจทางการทหาร ที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของเขา
แม้การตั้งรับอยู่ในเมืองจะเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นวิถีทางที่สะดวกสบาย ง่ายดายที่สุด แต่การปล่อยให้ประเทศให้ว่างเว้นจากการฝึกฝนเตรียมการศึก ย่อมไม่เป็นผลดี และในภาวะเช่นนี้ หากมัวแต่อยู่ในบ้านแล้ว วันใดเกิดถูกข้าศึกล้อมไว้ ขวัญและกำลังใจอันน้อยนิดตามแบบฉบับของชาวเสฉวนย่อมไม่คิดสู้รบเป็นแน่ (ดังเช่นที่ปรากฏขึ้นในภายหลัง เมื่อเตงงายนำกำลังพลมาเพียง 2,000 นาย แล้วเล่าเสี้ยนยอมแพ้ง่าย ๆ โดยไม่คิดสู้รบ)
เกียงอุยรู้ถึงจุดอ่อนนี้ดี ศิษย์เอกของพญามังกรไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเลือกเป็นฝ่ายรุก เลือกเดินเกมก่อน เพื่อกุมความได้เปรียบ เพื่อให้เขาสามารถเป็นฝ่ายเลือกสมรภูมิ และทำให้ศัตรูต้องคอยไล่ตามแก้ปัญหาที่เขาปล่อยโจทย์เข้าไป รวมทั้งเป็นการขยายแนวรับ โดยใช้แนวรุก ยิ่งไกลเสฉวน ยิ่งมากก็ยิ่งดี นี่คือที่มาถึงข้อสันนิษฐานว่าเกียงอุยใช้ยุทธศาสตร์ “การตั้งรับที่ดีที่สุดคือการรุก”
รุกบุกเหนือ 8 ครั้ง
เกียงอุยสร้างแนวรับ ด้วยการใช้การรุกบุกเข้าในในดินแดนของศัตรู สร้างความปั่นป่วนให้กับวุยก๊กเป็นอันมาก วุยก๊กในยุคนั้น ตั้งตัวแทบไม่ติด เมื่อเจอกองทัพของเกียงอุยเปิดเกมรุก ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี วุยก๊กไม่เคยเป็นฝ่ายบุกเลยเพราะต้องเล่นตามเกมของเกียงอุย ในหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) มีการรุกขึ้นเหนือทั้งหมด 8 ครั้ง ตามเหตุและตามผล ดังนี้- เกียงอุยยกทัพครั้งแรก เพราะพระเจ้าโจยอยตาย พระเจ้าโจฮองเพิ่งขึ้นครองราชย์ สุมาอี้ไล่กำจัดกลุ่มอำนาจเก่าอย่างโจซอง จนแฮหัวป๋าต้องหนีมาอยู่ด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องแตกพ่ายเพราะกองทัพเกี๋ยงที่นัดไว้ไม่มาช่วย ทำให้แผนต่าง ๆ ที่วางไว้ล้มเหลว
- จูกัดเก๊ก มหาอุปราชเมืองง่อทำหนังสือชวนเกียงอุยให้ช่วยกันโจมตีวุยก๊ก จูกัดเก๊กรบกับสุมาสู แต่ตายเพราะถูกการเมืองภายในเล่นงาน ส่วนเกียงอุยรบไล่ต้อนสุมาเจียว จนมุมอดน้ำอดอาหารอยู่บนเขา แต่เทพดาไม่เป็นใจ เสกน้ำให้สุมาเจียวรอดชีวิต เกียงอุยจึงถูกตีแตกพ่ายไป
- พระเจ้าโจฮอง และสุมาสูตาย โจมอและสุมาเจียวขึ้นแทน การเมืองภายในวุยก๊กอยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยน เกียงอุยจึงบุกเหนือครั้งที่ 3 แต่ไม่อาจตีเตงงายที่เมืองเตกโตเสียได้ และถูกอุบายจนต้องถอยทัพกลับ
- เกียงอุยยกทัพไปเขากิสานตามเหตุ 5 ประการ คือ มีกำลังใจดี , ชำนาญสงคราม , บุกทางเรือไม่เหนื่อยล้า , ชัยภูมิได้เปรียบ และ มีเสบียงอาหารบริบูรณ์ แต่เตงงายก็รู้ถึงเหตุทั้ง 5 นี้เช่นกัน และเตรียมรับมือเกียงอุยเป็นอย่างดี สุดท้ายจึงโจมตีเกียงอุยจนล่าถอยไปได้สำเร็จ
- สุมาเจียวกำเริบ จูกัดเอี๋ยนทนเห็นพระเจ้าโจมอถูกคุกคามไม่ได้จึงก่อกบฎหวังโค่นล้มสุมาเจียว เกียงอุยเห็นเป็นโอกาสจึงบุกวุยก๊กครั้งที่ 5 ที่เมืองเตียงเสีย แต่ถูกอุบายของเตงงาย แกล้งไม่ออกรบเพื่อถ่วงเวลารอกองทัพหนุนจากเมืองหลวง เกียงอุยรู้ว่าสู้ไม่ได้จึงถอยทัพกลับ
- พระเจ้าซุนฮิว ส่งหนังสือมาเตือนพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ระวังสุมาเจียวที่กำลังจะยึดอำนาจที่เมืองลกเอี๋ยง เกียงอุยเห็นเป็นทีจึงขอยกทัพไปตี ที่เขากิสาน ก็เจอกับเตงงายคู่ปรับเก่า เกียงอุยเอาชนะเตงงายด้วยค่ายกลพยุหะ แต่ต้องถูกเรียกตัวกลับ เพราะเล่าเสี้ยนหลงเชื่อคำของฮุยโฮขันที ว่าเกียงอุยจะหนีไปเข้าอยู่กับสุมาเจียว
- สุมาเจียวออกอุบายสังหารพระเจ้าโจมอเพื่อเตรียมการชิงราชสมบัติ เมื่อพระเจ้าโจมอตายก็ยกเอาโจฮวนขึ้นแทนไปพลาง เกียงอุยเห็นว่าวุยก๊กเริ่มสั่นคลอน จึงยกทัพครั้งที่ 7 รบชนะเตงงาย และสังหารอองก๋วนได้ แต่เสบียงหมด จึงต้องยกทัพกลับ
- การเมืองในวุยก๊กยังปั่นป่วน ประกอบกับการศึกครั้งล่าสุดเกียงอุยเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาจึงจัดทัพบุกเหนืออีกครั้ง ที่เมืองเตียวเจี๋ยง ครั้งนี้แฮหัวป๋าตายในการรบ แต่เกียงอุยก็ล้อมเตงงายให้จนมุมที่เขากิสาน จวนเจียนจะได้ชัย แต่ก็กลับมีหมายรับสั่งจากพระเจ้าเล่าเสี้ยนเรียกตัวเกียงอุยกลับ รวมถึง 3 ฉบับ เกียงอุยจำใจยอมยกทัพกลับ สาเหตุมาจากเล่าเสี้ยนเชื่อฟังคำฮุยโฮขันที คิดจะปลดเกียงอุย แล้วเอาเงียมอู เด็กในสังกัดเป็นแม่ทัพแทน เกียงอุยน้อยใจและเห็นว่าอยู่ในเมืองเสฉวนไม่ได้แล้วจึงขอไปตั้งกองกำลังอยู่ที่เมืองหลงเส
![]() |
เกียงอุย เป็นฝ่ายรุก 8 ครั้ง ไม่เคยทำชาติล่มจม |
ทั้งนี้การบุกแต่ละครั้ง เกียงอุยจะเลือกบุกในช่วงที่วุยก๊กอ่อนแอที่สุด หรือมีปัญหาภายในแทบทุกครั้ง เพราะนี่คือโอกาสทองที่เหมาะสมที่สุดในการโจมตี เห็นได้ว่าเกียงอุยมีความเข้าใจในจังหวะแห่งการริเริ่มสงครามเป็นอย่างดี ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้า โยนหัวโยนก้อยบุกแต่อย่างใด
ในศึกครั้งสุดท้ายซึ่งนับเป็นศึกครั้งที่ 9 ไม่ใช่การรุกแต่เป็น "การตั้งรับครั้งแรก" ของจ๊กก๊ก สุมาเจียวรู้ว่าการเมืองในราชสำนักจ๊กก๊กเหลวแหลก เกียงอุยต้องลี้ภัยไปอยู่หลงเส เขาไม่รอช้า มอบหมายให้จงโฮยและเตงงาย บุกเข้าตีเสฉวนทันที
เกียงอุยจัดทัพตั้งรับอย่างสุดความสามารถ รวมทั้งมีใบบอกแจ้งข่าวให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเตรียมการรับศึก แต่ฮุยโฮกลับยุยงไม่ให้เล่าเสี้ยนเชื่อเกียงอุย รวมทั้งยังนัดหมายคนทรงมาดูดวงเมืองให้ ว่าจะอยู่รอดปลอดภัยไร้กังวล ... ผลก็เป็นอย่างที่ทราบ ... จ๊กล่มเป็นก๊กแรก "หมอดูคู่หมอเดา"
การบุกทำให้ประเทศอ่อนแอ ?
![]() |
อนุสาวรีย์เกียงอุยที่เมืองเทียนซุย ประเทศจีน |
เรื่องอดอยากยากจนนี้ ขอให้ตีตกไปได้เลย เพราะเมื่อครั้งเตงงายบุกเข้ามาเสฉวนอย่างสบายอารมณ์นั้น เขาได้ตรวจบัญชีเมืองเสฉวน แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า เสฉวนมีบ้านเรือนถึง 180,000 ครัวเรือน มีประชากร 940,000 คน มีทหาร 102,000 คน มีข้าวอยู่ในยุ้งฉางกว่า 400,000 เกวียน (จำนำได้เยอะใช่เล่น) มีทองและเงินอย่างละ 2,000 ชั่ง มีผ้าแพรชั้นดีสี่อย่าง ๆ ละ 100,000 พับ และอื่น ๆ อีกจำนวนมาก .... ยากจนที่ไหนกัน ?
อีกทั้งเมื่อเทียบกับหนังสือสามก๊กฉบับภาษาอังกฤษของบริวิท เทเลอร์ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเสฉวนเมืองที่มีสงครามมาตลอดนี้ มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล มากกว่าที่หนังสือสามก๊กฉบับภาษาไทยบรรยายไว้ ดังนี้
“2,800,000 households, 9,140,000 souls, 102,000 active armed soldiers of all ranks, and 40,000 civil employees. Besides, there were granaries with 4,000,000 carts of grain, treasuries with 3,000 pounds of gold and silver and 200,000 rolls of silks of many qualities, and many unenumerated but precious things in the various storehouses.”
เตงงายพอทราบความจริงเข้าดังนั้นก็จัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โตทันที... เล่าแล้ว ชวนหัวเราะไม่ออก ที่เคยหลงคิดไปว่า เพราะเกียงอุยก่อสงคราม ชาวเสฉวนจึงลำบากยากไร้ ... จนพ่ายแพ้
ดู ๆ ไปแล้ว "ที่ชาวเสฉวนยากไร้นั้นหาใช่เงินทอง แต่เป็นน้ำใจรักชาติต่างหาก" จึงยอมแพ้ให้แก่ เตงงาย อย่างง่ายดาย
![]() |
เกียงอุยก่อสงคราม จนบ้านเมืองพังพินาศจริงหรือ ? |
สรุป
“การตั้งรับที่ดีที่สุดคือการรุก” เป็นปรัชญาทางการทหารที่มีอยู่จริง และมีใช้จริงในยุคสามก๊ก โดยนักการทหารชั้นเอกอย่าง “เกียงอุย” ปัจจัยต่าง ๆ ของเมืองเสฉวน ไม่เอื้ออำนวยให้เป็นฝ่ายรับ เกียงอุยจำเป็นต้องกระทำตนเป็นฝ่ายรุก นั่นคือการริเริ่ม การชิงความได้เปรียบ การแปรเปลี่ยนสภาพ จากผู้ที่ควรถูกกระทำให้กลายเป็นผู้กระทำ เกียงอุยเลือกเป็นผู้สร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายศัตรูต้องตามแก้ “จ๊กก๊ก” จึงดำรงอยู่ได้โดยไม่มีขงเบ้งถึง 30 ปี …มีกำลังน้อยอย่ามัวตั้งรับเพื่อรอวันแพ้ แต่จงรุกเข้าไป !! ... เกมกระดานนี้ จึงจะเป็นของท่าน
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ และเป็นบทวิเคราะห์สามก๊กตามวรรณกรรมเท่านั้น