Loading ...

$show=home

จุดเริ่มต้นของการศึกษาสามก๊ก

แหล่งศึกษาเรียนรู้ ทุกเรื่องราวของวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลก

สามก๊กวิทยา : THREE KINGDOMS ACADEMY

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่อาณาจักร
"สามก๊กวิทยา"
THREE KINGDOMS ACADEMY

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32

สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32

เนื้อหา

  • เล่าปี่หนีไปพบสุมาเต๊กโช
  • เล่าปี่ได้ชีซี ตันฮกเป็นที่ปรึกษา 
  • โจหยินยกไปรบกับเล่าปี่
  • เล่าปี่ตีทัพโจหยินแตก 
  • เล่าปี่ได้เมืองห้วนเสีย 
  • เล่าปี่ได้เล่าฮองเป็นบุตรเลี้ยง 

ฝ่ายเล่าปี่ขี่ม้าหนีมาทางฟากตวันตก มิได้รู้แห่งทางก็คิดเสียใจ ว่าตัวกูเอ๋ยได้ความลำบากถึงเพียงนี้ แต่มีความสงสัยว่าแม่น้ำตันเขนั้นกว้างถึงเก้าวาสิบวา เหตุใดม้าโจนทีเดียวจึงไปถึงน้ำตื้นได้ ชรอยเทพดาจะช่วยเรามิให้มีอันตรายได้ ครั้นมาถึงแดนเมืองลำเจี๋ยง พอเวลาเย็นเห็นเด็กคนหนึ่งขี่กระบือเป่าขลุ่ยมาตรงหน้า เล่าปี่ทอดใจใหญ่แล้วว่า เรานี้ประกอบไปด้วยความทุกข์ เด็กเลี้ยงกระบือนั้นมีความสุขยิ่งกว่าเราอีก เล่าปี่ก็หยุดม้าฟังเด็กนั้นเป่าขลุ่ย หวังจะให้คลายความทุกข์ เด็กเลี้ยงกระบือนั้นก็ไม่เป่าขลุ่ย หยุดดูรูปร่างเล่าปี่เห็นสูงใหญ่หูยาวถึงบ่าประหลาทกว่าคนทั้งปวง แล้วถามว่าท่านนี้หรือชื่อเล่าปี่ซึ่งช่วยปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองครั้ง เตียวก๊กหรือ

เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มีความสงสัยจึงถามว่า ตัวเองเด็กเท่านี้เหตุใดจึงล่วงรู้จักเรา ว่าช่วยปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองครั้งเตียวก๊ก เด็กเลี้ยงกระบือนั้นจึงตอบว่า อายุข้าพเจ้ายังอ่อนอยู่มิได้รู้จักท่านก็จริง แต่ครูสอนหนังสือมีอยู่คนหนึ่ง เพื่อนฝูงของครูข้าพเจ้านั้นมีหลายคน ขณะเมื่อมาหาครูข้าพเจ้านั้น พูดจาสรรเสริญถึงเล่าปี่ ว่าประกอบไปด้วยลักษณะอันดี สูงประมาณหกศอก หูใหญ่ยาวถึงบ่า มือยาวถึงเข่า จักษุกลอกไปเห็นใบหู แล้วทำนายว่ามีสติปัญญา ภายหน้าไปจะมีบุญ บัดนี้ข้าพเจ้ามาเห็นรูปร่างท่านก็สมกับคำเล่าลือ ข้าพเจ้าจึงถามว่าท่านชื่อเล่าปี่หรือ เล่าปี่จึงถามเด็กเลี้ยงกระบือว่า อาจารย์ของเจ้าซึ่งเจรจาถึงเรานั้นชื่อใด เด็กเลี้ยงกระบือจึงบอกว่า ครูข้าพเจ้าชื่อสุมาเต๊กโช เล่าปี่จึงถามว่า เพื่อนของอาจารย์เจ้าชื่อใดเล่า เด็กเลี้ยงกระบือจึงตอบว่า เพื่อนของอาจารย์ข้าพเจ้าสองคน ๆ หนึ่งชื่อบังเต๊กก๋ง อายุแก่กว่าอาจารย์ข้าพเจ้าสิบปี เปนอาว์บังทอง ๆ อ่อนกว่าอาจารย์ข้าพเจ้าห้าปี มีสติปัญญาหลักแหลมนัก สุมาเต๊กโชรักใคร่เรียกว่าเปนน้อง อาว์หลานสองคนนี้อยู่แดนเมืองซงหยง เคยไปมาหาสู่พูดจาสรรเสริญเล่าปี่เนือง ๆ อยู่

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า บัดนี้อาจารย์เจ้าอยู่แห่งใดเล่า เด็กเลี้ยงกระบือจึงชี้มือบอกว่า อาจารย์ข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้ แลเห็นพุ่มไม้อยู่ทางประมาณยี่สิบเส้น เล่าปี่จึงว่าตัวเรานี้ชื่อเล่าปี่ จะใคร่ได้เห็นอาจารย์เจ้า จงพาเราไปสนทนาด้วยสักหน่อยหนึ่ง เด็กเลี้ยงกระบือก็พาเล่าปี่ไป ครั้นถึงประตูที่อยู่สุมาเต๊กโชนั้น พอได้ยินเสียงพิณซึ่งสุมาเต๊กโชดีดนั้นเพราะนักหนา เล่าปี่จึงห้ามเด็กว่า อย่าเพ่อเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่อาจารย์ก่อน ให้อาจารย์ดีดพิณให้สบายใจจึงค่อยเข้าไป เล่าปี่ก็หยุดฟังอยู่

ฝ่ายสุมาเต๊กโช ครั้นดีดพิณแล้วก็ลุกเดิรออกมาจึงว่า เวลาวันนี้เราดีดพิณสละสลวยสายพิณมิได้ขัดข้อง ชรอยจะมีคนผู้มีสติปัญญามาลักลอบฟังเปนมั่นคง เด็กเลี้ยงกระบือเห็นสุมาเต๊กโชเดิรออกมาดังนั้นจึงบอกเล่าปี่ว่า คนนี้แลชื่อสุมาเต๊กโชเปนอาจารย์ข้าพเจ้า เล่าปี่เห็นสุมาเต๊กโชประกอบไปด้วยรูปร่างดี กิริยามารยาทสูงระวาดระไว งามสมควรที่จะเปนอาจารย์ มีความยินดีนัก ก็คำนับตามประเพณี สุมาเต๊กโชเห็นเล่าปี่คำนับ ก็พิเคราะห์ดูเห็นเสื้อแลกางเกงเปียกอยู่จึงว่า ตัวท่านนี้มีบุญแลวาสนาเปนอันมาก ภัยมาถึงตัวแล้วก็หนีเอาตัวรอดได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็หลากใจจึงคิดว่า เหตุไฉนสุมาเต๊กโชจึงรู้เหตุผลทั้งนี้

ขณะนั้นเด็กเลี้ยงกระบือจึงบอกกับสุมาเต๊กโชว่า คนนี้ชื่อเล่าปี่ให้ข้าพเจ้าพามาคำนับท่าน สุมาเต๊กโชแจ้งดังนั้นก็พาเล่าปี่เข้าไปข้างใน จึงจัดแจงที่ให้นั่งแล้วถามว่า ตัวท่านนี้มาแต่แห่งใด เล่าปี่จึงบอกว่าข้าพเจ้ามาเที่ยวเล่น เห็นภูมิ์ฐานบ้านช่องทั้งปวงนี้ก็เพลินเดิรหลงมา พอพบเด็กเลี้ยงกระบือบอกว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจึงแวะเข้ามาคำนับ เปนบุญของข้าพเจ้าได้มาพบท่านวันนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีหาที่สุดมิได้ สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นจึงว่า เล่าปี่ท่านจะพรางเราใยเรารู้อยู่แล้ว บัดนี้ท่านหนีภัยมาเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เล่าเนื้อความแก่สุมาเต๊กโชโดยจริงทุกประการ สุมาเต๊กโชจึงว่า เราได้ยินเขาเลื่องลือมาแต่ก่อนว่าตัวท่านมีปัญญาความคิดหลักแหลม จะหาผู้เสมอเปนอันยาก เหตุไฉนจึงยังตั้งตัวมิได้ เล่าปี่จึงว่า ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้วาสนาน้อย ทั้งชาตาราศีก็อาภัพจึงได้ความลำบาก สุมาเต็กโชจึงว่า ซึ่งท่านว่ามีบุญน้อยวาสนาน้อยนั้นหาควรไม่ เปนเหตุทั้งนี้เพราะท่านหาคนดีที่มีสติปัญญาเปนที่ปรึกษานั้นยังมิได้

เล่าปี่จึงตอบว่า อันที่ปรึกษาของข้าพเจ้าก็มีอยู่ คือซุนเขียนแลบิต๊กกับกันหยง สามคนนี้ก็เปนที่ไว้วางใจมาแต่ก่อน ฝ่ายกวนอูเตียวหุยจูล่ง สามคนนี้ก็เปนทหารเอกซื่อสัตย์รักใคร่ร่วมใจกัน แต่หากบุญข้าพเจ้าหาไม่จึงตั้งตัวมิได้เอง สุมาเต๊กโชจึงว่า อันซุนเขียนแลบิต๊กกับกันหยงนั้น ท่านจะนับว่ามีปัญญาเปนที่ปรึกษาด้วยนั้นไม่ได้ ด้วยคนทั้งสามนี้เปนแต่รู้หนังสือกฎหมายขนบธรรมเนียมเก่าเท่านั้น ซึ่งจะอาศรัยปัญญาคิดอ่านผ่อนผันในการสงครามนั้นไม่ได้ ถึงมีก็เหมือนกับหาไม่ อันกวนอูเตียวหุยจูล่งเล่าก็เปนแต่มีฝีมือกล้าหาญ ถึงสามารถต่อสู้ด้วยคนนับหมื่นนับแสนได้ก็จริง แต่ว่าหามีผู้จะจัดแจงใช้สอยให้ถูกที่ไม่ เล่าปี่จึงตอบว่า ท่านว่าฉนี้ก็ควรอยู่ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็สืบเสาะหาคนที่ดีมีสติปัญญาจะได้ช่วยทำนุบำรุงสืบไปก็ ขัดสน สุมาเต๊กโชจึงว่า โบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนว่า สิบคนจะหาผู้กล้าหาญได้คนหนึ่ง ร้อยคนจะจัดหาผู้มีสติปัญญาได้คนหนึ่ง แลคนทั้งปวงก็มีอยู่เปนอันมาก แม้ท่านจะประสงค์หาผู้มีสติปัญญานั้นก็จะได้สมความปราถนา เล่าปี่จึงว่าท่านว่านั้นก็ควรอยู่ แต่ทว่าข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อยยากที่จะพิเคราะห์เห็น ขอท่านได้อนุเคราะห์ช่วยแนะให้ข้าพเจ้าด้วย

สุมาเต๊กโชจึงว่า ซึ่งคนมีสติปัญญานั้นก็มีอยู่มิสู้ใกล้ไกลนัก ถ้าท่านมีความปราถนาจะใคร่สมาคมด้วย ก็จงอุตส่าห์มีความเพียรสืบเสาะไปก็จะพบดอก เล่าปี่จึงว่า ซึ่งคนดีมีสติปัญญานั้นอยู่ตำบลใดข้าพเจ้ายังมิแจ้ง สุมาเต๊กโชจึงว่า อันฮกหลงกับฮองซู สองคนนี้ถ้าได้มาเปนที่ปรึกษาด้วยแต่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็อาจสามารถจะคิดอ่านปราบปรามศัตรูแผ่นดินให้สงบได้ เล่าปี่จึงว่า ซึ่งท่านบอกฮกหลงฮองซูนั้น ข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าเปนชื่อผู้ใด สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะ ว่าดีแล้ว เล่าปี่จึงซักถามต่อไปอีกว่า ท่านจงอนุเคราะห์บอกให้ข้าพเจ้าแจ้งก่อน สุมาเต๊กโชจึงว่า เวลาวันนี้ก็จวนค่ำลงแล้ว ถ้าท่านยับยั้งอยู่สักราตรีหนึ่ง พรุ่งนี้เราจึงจะบอกชื่อให้ แล้วก็ให้ลูกศิษย์รับเอาม้าของเล่าปี่เข้าไปผูกไว้หลังบ้าน จึงให้แต่งเข้าปลาอาหารเลี้ยงเล่าปี่ แล้วจัดแจงที่ให้อยู่ เล่าปี่จึงเข้าไปในห้องข้างใน เอนตัวลงนอนให้คิดรำพึงถึงถ้อยคำซึ่งสุมาเต๊กโชบอกเนื้อความมิให้แจ้ง ก็ให้วิตกไปนอนไม่หลับ ครั้นเวลายามหนึ่งพอได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกให้เปิดประตูรับ แล้วเข้าไปหาสุมาเต๊กโชข้างใน สุมาเต๊กโชจึงถามว่า ท่านมานี้มีกังวลสิ่งใด ชีซีจึงคำนับสุมาเต๊กโชแล้วบอกว่า ข้าพเจ้ามานี้มีความปราถนาจะสนทนากับท่าน ด้วยข้าพเจ้าได้ยินเขาเลื่องลือว่า เล่าเปียวนี้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี รักผู้มีสติปัญญาเลี้ยงดูทำนุบำรุงทุกประการ มิได้ชอบใจสมาคมด้วยคนพาล ข้าพเจ้าอุตส่าห์ทำความเพียรเสาะไปหา หวังจะฝากตัวทำราชการด้วยเล่าเปียว ครั้นข้าพเจ้าไปอยู่สำนักเล่าเปียว พิเคราะห์ดูก็หาสมคำที่เลื่องลือนั้นไม่ แลจะใช้สอยคนดีซึ่งมีสติปัญญานั้น ก็ไม่รู้จักการที่จะบังคับบัญชา แลกำจัดคนพาลให้ปราศจากนั้นก็มิได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าเปียวประพฤติการทั้งนี้หาเปนประโยชน์ไม่ ข้าพเจ้าจึงเอาตัวออกหาก

สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นจึงว่า ตัวท่านเปนคนมีสติปัญญา ควรที่จะไปทำราชการอยู่ด้วยผู้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ทุกวันนี้ผู้มีสติปัญญากว้างขวางก็มีอยู่เหมือนจะปรากฎแก่จักษุท่าน เหตุใดจึงไม่พิเคราะห์ดู ว่าเล่าเปียวเปนผู้สมควรที่ท่านจะไปอยู่ด้วยหรือไม่ ชีซีก็รับว่าท่านว่าทั้งนี้ชอบแล้ว ขณะเมื่อชีซีเข้ามาบอกเนื้อความกับสุมาเต๊กโชนั้น เล่าปี่อยู่ข้างในรู้ก็ลุกออกมานั่งแอบฟังได้ยินอยู่สิ้นจึงคิดว่า ซึ่งสุมาเต๊กโชบอกว่าคนมีสติปัญญามีอยู่มิสู้ใกล้สู้ไกลนั้น ชะรอยจะเปนคนนี้มั่นคง สำคัญใจฉนี้แล้วก็มีความยินดีนัก ครั้นจะออกมาสนทนาไต่ถามในเวลากลางคืนนั้นก็เกรงใจสุมาเต๊กโชอยู่

ครั้นเวลารุ่งเช้าเล่าปี่จึงถามสุมาเต๊กโช ๆ จึงบอกว่า ผู้ซึ่งมาเจรจาด้วยนั้น เปนเพื่อนรักชอบพอกันกับเรา เล่าปี่จึงว่า ทำไฉนข้าพเจ้าจะได้รู้จักตัว ท่านจงช่วยอนุเคราะห์ให้ได้สนทนาสักหน่อยหนึ่ง สุมาเต๊กโชจึงบอกว่า เขาไปจากเราแต่เวลากลางคืนนี้แล้ว เล่าปี่จึงถามว่าคนนั้นชื่อใด สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ว่าดีแล้ว เล่าปี่จึงถามว่า ซึ่งท่านจะบอกเนื้อความให้ก็เชิญบอกให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ซึ่งว่าฮกหลงฮองซูนั้นจะเปนชื่อผู้ใดเล่า สุมาเต๊กโชก็หัวเราะ ว่าดีแล้ว เล่าปี่เห็นสุมาเต๊กโชมิได้บอกให้แจ้งได้แต่หัวเราะอยู่ฉนี้จึงว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความปราถนาจะทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนสุข ก็ยังไม่สำเร็จ ถ้าได้ท่านผู้ประกอบไปด้วยสติปัญญาฉนี้ไปเปนที่ปรึกษาคิดอ่าน เห็นแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเริญ ขอเชิญท่านไปทำราชการกับข้าพเจ้า เหมือนช่วยทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย สุมาเต๊กโชจึงว่า ตัวเราเปนชาวบ้านนอก มีสติปัญญาน้อย ซึ่งจะไปทำราชการด้วยท่านนั้นมิได้ แลผู้มีสติปัญญามากกว่าเรานั้นก็ยังมีอยู่ ท่านจงอุตส่าห์สืบเสาะหาเถิด

ขณะเมื่อเล่าปี่พูดกับสุมาเต๊กโชอยู่นั้น จูล่งคุมทหารประมาณร้อยหนึ่งเที่ยวติดตามหาเล่าปี่มาถึงเข้า เสียงทหารอื้ออึงได้ยินเข้าไปถึงเล่าปี่ ๆ ตกใจก็ลุกออกมาดู เห็นจูล่งก็มีความยินดี จูล่งก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับเล่าปี่ จึงบอกเนื้อความซึ่งติดตามมาให้ฟัง แล้วว่าขอท่านจงเร่งกลับไปเมืองซินเอี๋ยเถิด เกลือกศัตรูจะไปทำร้ายภายหลัง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เข้าไปลาสุมาเต๊กโช แล้วก็ขึ้นม้ามากับจูล่งไกลบ้านทางประมาณยี่สิบเส้น พอพบกวนอูเตียวหุยยกตามมา เล่าปี่มีความยินดีนัก จึงเล่าความลำบากซึ่งหนีมานั้น ให้กวนอูเตียวหุยฟังทุกประการ แล้วก็พากันไป ครั้นถึงเมืองซินเอี๋ยแล้ว เล่าปี่จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งชัวมอคิดอ่านล่อลวงเราว่าเล่าเปียวให้เชิญไป แลชัวมอจะทำร้ายเราฉนี้ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด ซุนเขียนจึงว่า ซึ่งชัวมอจะคิดทำร้ายท่านทั้งนี้จะนิ่งเสียนั้นไม่ได้ ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าเปียวบอกเนื้อความตามที่เปนมาให้แจ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือให้ซุนเขียนถือไปยังเมืองเกงจิ๋ว นายประตูจึงพาเอาตัวซุนเขียนเข้าไปแจ้งแก่เล่าเปียว ๆ จึงถามว่า เราเชิญเล่าปี่มาให้รับขุนนาง ณ เมืองซงหยงนี้ ยังกำลังเลี้ยงโต๊ะกันอยู่มิทันจะสำเร็จเล่าปี่หนีไปนั้นเหตุผลประการใด

ซุนเขียนจึงเอาหนังสือนั้นให้แก่เล่าเปียว ในหนังสือนั้นเปนใจความว่า ซึ่งท่านให้หาข้าพเจ้ามากินโต๊ะรับคำนับขุนนาง ข้าพเจ้าก็ได้มา แลขณะเมื่อเลี้ยงโต๊ะกันอยู่นั้นชัวมอคิดจะทำร้ายข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าหนีได้จึงพ้นจากอันตราย แลเหตุผลทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้ทันจะแจ้งแก่ท่านด้วยจะรีบหนีเอาตัวรอด เล่าเปียวได้แจ้งดังนั้นก็โกรธ ให้หาตัวชัวมอเข้ามาด่าว่า มึงนี้บังอาจคิดจะฆ่าเล่าปี่ผู้น้องกูเสียแต่อำเภอใจ หามีความยำเกรงไม่ แล้วก็สั่งทหารจะให้เอาตัวชัวมอไปฆ่าเสีย ขณะนั้นนางชัวฮูหยินผู้พี่ชัวมออยู่ข้างในแจ้งดังนั้น จึงออกมาว่าแก่เล่าเปียวว่า ซึ่งชัวมอบังอาจทำการทั้งนี้โทษก็ผิดอยู่แล้ว ท่านจะให้เอาไปฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าจะขอโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ ด้วยกำลังโกรธมิได้ว่าประการใด

ซุนเขียนเห็นเล่าเปียวโกรธเปนกำลังนักจึงว่า ชัวมอทำผิดท่านจะให้ประหารชีวิตเสียนั้นก็ชอบอยู่ แต่ว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า ถ้าชัวมอตายแล้ว เล่าปี่จะอยู่ในแว่นแคว้นของท่านก็คงไม่มีความสุข ซึ่งเอ็นดูเล่าปี่นั้นก็เหมือนหาประโยชน์ไม่ เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ซุนเขียนว่าดังนี้เพราะเหตุว่าชัวมอมีสมัคพรรคพวกมาก แม้กูฆ่าเสียบัดนี้ คนทั้งปวงซึ่งเปนสมัคพรรคพวกชัวมอ ก็จะมีน้ำใจพยาบาทเจ็บร้อนคิดทำร้ายแก่เล่าปี่เปนมั่นคง เล่าเปียวคิดดังนั้นแล้วก็มิได้ฆ่าชัวมอเสีย แต่คาดโทษไว้ จึงให้เล่ากี๋ผู้บุตรกับซุนเขียนไปขะมาเล่าปี่

เล่ากี๋กับซุนเขียนก็ลาเล่าเปียวไปเมืองซินเอี๋ย จึงเข้าไปคำนับเล่าปี่แล้วบอกว่า บัดนี้บิดาข้าพเจ้าให้มาไหว้ขะมาท่าน ด้วยแจ้งเนื้อความว่า ชัวมอคิดทำร้ายท่านนั้นผิดนัก ท่านอย่าได้ถือโทษสืบไปเลย เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึงเชิญให้กินโต๊ะ แลขณะเมื่อเล่ากี๋เสพย์สุราอยู่นั้นก็ร้องไห้ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงร้องไห้ เล่ากี๋จึงบอกว่าข้าพเจ้าร้องไห้ทั้งนี้เพราะคิดถึงตัว ด้วยนางชัวฮูหยินมารดาเลี้ยงข้าพเจ้ามีใจริษยาคิดจะฆ่าเสีย ข้าพเจ้ามิรู้ที่จะคิดอ่านแก้ไขตัวให้พ้นอันตรายได้ จะขอเอาสติปัญญาท่านช่วยสั่งสอนเปนที่พึ่งด้วย เล่าปี่จึงว่า ทุกวันนี้จะรักษาตัวได้ก็เพราะมีอัชฌาสัยอันรอบคอบ ท่านจงอุตส่าห์ปฏิบัติตามน้ำใจนางชัวฮูหยิน อย่าให้นางเคืองขัดประการใดได้แล้วก็จะพ้นจากอันตรายทั้งปวง ครั้นเล่าปี่สั่งสอนแล้วดังนั้น เวลาเช้าเล่ากี๋ก็ลามา เล่าปี่ก็ขึ้นม้าออกมาส่ง ครั้นเล่าปี่กลับเข้ามาเมือง พบคนหนึ่งเดิรทำเพลงอยู่กลางตลาดเปนใจความว่า

แผ่นดินจะกลับ ก็เหมือนไฟดับสิ้นแสง ถ้ากบทูจะหัก จะเอาไม้อันน้อยค้ำ มิอาจจะทานกำลังไว้ได้ ชาวบ้านนอกผู้มีปัญญา ย่อมจะแสวงหานายที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารี แลผู้ที่จะแสวงหาผู้มีปัญญาหารู้จักเราไม่ เล่าปี่ได้ฟังคนทำเพลงดังนั้นก็ประหลาทใจจึงคิดว่า ถ้อยคำสุมาเต๊กโชบอกว่า ฮกหลงฮองซูนั้นชะรอยจะเปนคนนี้มั่นคง เล่าปี่ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับแล้วก็พาเข้าไปถึงที่อยู่ ให้นั่งที่สมควรแล้วถามว่า ท่านนี้ชื่อใดอยู่ตำบลไหน ผู้นั้นจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อตันฮก อยู่ตำบลเองซง ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านนี้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ครั้นข้าพเจ้าจะจู่ลู่เข้ามาหาท่านนั้นก็ไม่สมควร ข้าพจึงแกล้งทำเพลงทั้งนี้ปราถนาจะให้ท่านรู้จัก เล่าปี่ได้ฟังก็มีความยินดี จึงชวนตันฮกให้อยู่ด้วยจะตั้งให้เปนที่ปรึกษา ตันฮกก็ยอม แล้วว่าแก่เล่าปี่ว่า ม้าซึ่งท่านขี่มาเมื่อกี้นั้นข้าพเจ้าจะขอดูสักหน่อย เล่าปี่จึงเรียกให้คนจูงม้ามาให้ดู ตันฮกจึงพิเคราะห์ดูลักษณม้าเห็นร้ายจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ม้านี้ลักษณะชื่อเต๊กเลา มีกำลังแลฝีเท้ารวดเร็วก็จริง แต่ทว่ามักเกิดอันตรายแก่เจ้าของ ซึ่งท่านจะขี่ม้าตัวนี้สืบไปอันตรายก็จะมีแก่ท่าน เล่าปี่จึงตอบว่า แม้ม้าตัวนี้จะทำให้เกิดอันตรายแก่เจ้าของเหมือนท่านว่าแล้ว ที่ไหนจะพาเราข้ามแม่น้ำตันเขมาได้ ตันฮกจึงว่า ถึงมาทว่าม้านี้ได้พาท่านรอดมาจากความตายครั้งนี้ก็จริง แต่ทว่าสืบไปเมื่อหน้าก็จะให้มีอันตรายเปนมั่นคง แต่ข้าพเจ้ารู้เล่ห์กเท่ห์อันหนึ่ง ซึ่งท่านจะขี่ม้าตัวนี้ไปภายหน้าจะมิให้เปนอันตรายก็ได้อยู่ เล่าปี่จึงว่าแยบคายของท่านเปนประการใดก็จงอนุเคราะห์เถิด ตันฮกจึงบอกว่า ซึ่งมิให้มีอันตรายไปภายหน้านั้น ผู้ใดซึ่งมิได้ชอบใจท่าน ๆ จงเอาม้านี้ไปให้ขี่ ก็จะมีอันตรายตายไปก่อน แล้วท่านจึงค่อยกลับเอามาขี่อีกก็จะมีความเจริญต่อไป หาความอันตรายมิได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านนี้มีความปราถนามาอยู่กับเรา ๆ ก็คิดว่าจะช่วยสั่งสอนทำนุบำรุงเราให้เปนธรรม ควรแลหรือมาสั่งสอนมิให้เปนธรรม จะให้ทำร้ายแก่ผู้อื่นฉนี้เรามิขอได้ยิน

ตันฮกหัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าว่ากล่าวทั้งนี้ใช่จะจริงอย่างนั้นหามิได้ ด้วยได้ยินกิตติศัพท์เขาลือไปว่าท่านนี้มีน้ำใจเปนสัตย์เปนธรรมก็ยังมิแจ้ง ประจักษ์ก่อน ซึ่งว่าทั้งนี้เพื่อจะลองน้ำใจท่าน บัดนี้สมเหมือนหนึ่งคำเขาลืออยู่แล้ว เล่าปี่จึงว่า เขาเล่าลือไปนั้นก็ชอบอยู่ แต่ที่จริงตัวเราก็พอประมาณ จะเหมือนคำเขาว่าทีเดียวนั้นก็หามิได้ บัดนี้ท่านมาอยู่ด้วยเราแล้ว จงช่วยสั่งสอนทำนุบำรุงแต่ที่ชอบ แล้วเล่าปี่ก็ตั้งให้ตันฮกเปนใหญ่บังคับบัญชาทหารทั้งปวง

ฝ่ายโจโฉครั้นยกพลทหารกลับมาแต่เมืองกิจิ๋วแล้ว จึงแต่งให้โจหยินลิเตียนลิกองลิเซียงคุมทหารสามหมื่น ยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองห้วนเสียอันเปนหัวเมืองขึ้น หวังจะฟังกิจการบ้านเมืองเกงจิ๋วนั้น ครั้นลิกองลิเซียงรู้จึงว่ากับโจหยินว่า เล่าปี่ยกมาอยู่ ณ เมืองซินเอี๋ย เห็นจะคิดทำการใหญ่หลวง จำจะกำจัดเสียให้ได้ อย่าให้ทำการกำเริบไปภายหน้า แลตัวข้าพเจ้าพี่น้องสองคนนี้ มาอยู่ทำราชการด้วยมหาอุปราช ก็ยังหาความชอบมิได้ คิดจะทำการสนองคุณมหาอุปราชให้ถึงขนาด บัดนี้เล่าปี่มาตั้งอยู่เมืองซินเอี๋ย ข้าพเจ้าพี่น้องจะขออาสาไปตัดเอาสีสะเล่าปี่มาให้ได้ โจหยินกับลิเตียนได้ฟังดังนั้นมีความยินดี จึงจัดแจงทหารห้าพันให้ ลิกองลิเซียงก็คุมทหารยกมาถึงปลายแดนเมืองซินเอี๋ย

ฝ่ายม้าใช้เห็นกองทัพยกมาดังนั้น ก็รีบเข้าไปแจ้งแก่เล่าปี่ ๆ จึงหาตันฮกมาปรึกษาว่า บัดนี้กองทัพยกมาจะทำร้ายแก่เรา ท่านจะคิดประการใด ตันฮกจึงว่า ซึ่งข้าศึกยกมาจะทำร้ายแก่ท่านทั้งนี้ จะละไว้ให้ล่วงมานั้นไม่ควร จำจะกำจัดเสียแต่ไกล ขอให้เตียวหุยคุมทหารยกอ้อมวกไปสกัดหลังไว้ แล้วให้กวนอูยกซุ่มสกัดกลางทาง ตัวท่านกับจู่ล่งจงยกเปนกองหลวงไปรับหน้าข้าศึกกลางทาง ก็จะได้ชัยชนะเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้กวนอูกับเตียวหุยคุมทหารไปตั้งอยู่ตามคำตันฮกว่า เล่าปี่กับจูล่งคุมทหารสองพัน ยกออกจากเมืองมาทางประมาณร้อยเส้นก็พบกองทัพลิกองลิเซียงยกมา เล่าปี่หยุดกองทัพยั้งไว้ แล้วขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร จึงร้องถามว่าท่านนี้ชื่อใด บังอาจยกกองทัพล่วงเข้ามาถึงแดนของเรา ลิกองได้ฟังดังนั้นจึงร้องตอบว่า เราชื่อลิกองเปนทหารเอกของมหาอุปราช บัดนี้จะมาจับตัวท่านให้จงได้

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้จูล่งขับม้าออกรบกับลิกองได้ห้าเพลง จูล่งเอาทวนแทงลิกองตกม้าตาย เล่าปี่เห็นได้ทีดังนั้นก็ขับทหารไล่โจมฟัน ลิเซียงเห็นเหลือกำลังจะรบมิได้ก็พ่ายถอยลงไป กวนอูเห็นได้ทีก็คุมทหารตีสกัดออกมา ไล่ฆ่าฟันทหารลิเซียงตายประมาณสองพันเศษ ลิเซียงเห็นทหารล้มตายเปนมากก็แตกร่นลงไป เตียวหุยซึ่งตั้งสกัดหลังอยู่นั้นเห็นลิเซียงพาทหารแตกมา ก็ขับม้าออกยืนสกัดทางไว้แล้วร้องว่า ตัวกูชื่อเตียวหุยมาสกัดทางคอยท่าอยู่นานแล้ว ลิเซียงเหลือบเห็นเตียวหุยก็ตกใจชักม้าจะหนี เตียวหุยก็ขับม้าไล่เอาทวนแทงถูกลิเซียงตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจายกันไป เล่าปี่ก็ให้ไล่จับได้ทหารเปนอันมาก แล้วก็ให้ยกกองทัพกลับเข้าเมืองซินเอี๋ย

ฝ่ายทหารลิกองซึ่งแตกหนีไปได้นั้น ก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจหยินทุกประการ โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาลิเตียนว่า บัดนี้ลิกองลิเซียงยกไปก็เสียทีแก่เล่าปี่แล้ว เราจะคิดประการใดดี ลิเตียนจึงว่า ลิกองลิเซียงถึงแก่ความตายบัดนี้ ก็เพราะประมาทดูหมิ่นแก่เล่าปี่ ครั้นเราจะหุนหันยกกองทัพไปตีเมืองซินเอี๋ยอีกเล่าก็มิได้ ฝ่ายเล่าปี่มีชัยมีใจกำเริบอยู่ ขอท่านคิดผ่อนผันยับยั้งทหารไว้ บอกหนังสือไปแจ้งแก่มหาอุปราชให้ยกกองทัพหลวงมาก่อน โจหยินจึงว่า เล่าปี่ฆ่าทหารของเราเสียแล้วจับทหารเลวไปไว้เปนอันมาก จะนิ่งอยู่นั้นมิได้ จำเราจะยกกองทัพไปแก้แค้นเล่าปี่ อันเมืองซินเอี๋ยสักกำมือหนึ่งซึ่งจะร้อนถึงมหาอุปราชนั้นไม่ควร แต่ลำพังเราพอจะทำได้อยู่ ลิเตียนจึงว่า อันเล่าปี่นี้ก็มีสติปัญญาหลักแหลมนัก ซึ่งจะยกไปทำแต่ลำพังนั้นอย่าเพ่อดูเบาก่อน โจหยินจึงว่า ท่านเจรจาดังนี้มิกลัวฝีมือเล่าปี่อยู่แล้วหรือ ลิเตียนจึงว่า ข้าพเจ้าว่ากล่าวทั้งนี้มิใช่จะกลัวฝีมือเล่าปี่หามิได้ หวังจะเตือนสติท่าน ด้วยคำโบราณกล่าวไว้ว่า ถ้าจะทำการสงครามพึงให้รู้ลักษณะในไส้ศึกก่อน จึงจะทำการได้ชัยชนะโดยง่าย เหตุฉนี้ข้าพเจ้าจึงทัดทาน เกลือกจะเสียทีแก่ข้าศึกก็จะซ้ำร้ายไปอีก

โจหยินจึงว่า ท่านนี้ทำราชการเปนสองใจ หาภักดีไม่ ถ้าฉนั้นแต่ลำพังเราจะยกไปจับตัวเล่าปี่ให้จงได้ ลิเตียนจึงว่า ซึ่งจะยกไปนั้นก็ตามความคิดเถิด ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารอยู่รักษาเมืองห้วนเสีย โจหยินได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านเจรจาเอาใจออกหากเราฉนี้ ก็เห็นว่าท่านเปนคนสองใจอยู่แล้ว จึงหาเจ็บร้อนด้วยเราไม่ ลิเตียนจึงว่า ข้าพเจ้าว่ากล่าวเตือนสติทั้งนี้โดยความจริง จะได้เอาใจออกหากท่านนั้นหามิได้ แม้ท่านสงสัยอยู่ดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจะไปด้วย โจหยินกับลิเตียนก็ยกทหารสองหมื่นสี่พันรีบไปเมืองซินเอี๋ยด้วยกำลังโทโส มิได้พักทหารทั้งกลางวันกลางคืน แลน้ำใจโจหยินนั้นหมายจะไปเหยียบแผ่นดินเมืองซินเอี๋ยให้จมลงในมหาสมุทร์

ฝ่ายตันฮกจำเดิมแต่เล่าปี่ได้ชัยชนะกลับเข้าเมืองแล้ว จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า โจหยินมาตั้งอยู่เมืองห้วนเสีย บัดนี้เสียทหารเอกถึงสองคน เห็นจะมีความแค้นยกมาตีเมืองเราเปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงถามตันฮกว่า แม้โจหยินยกมาเราจะคิดอ่านป้องกันประการใด ตันฮกจึงว่า ถ้าโจหยินยกมาครั้งนี้ เห็นจะเกณฑ์ทหารสิ้นเชิง เราจะคิดกลอุบายลอบไปตีเอาเมืองห้วนเสียให้ได้ เล่าปี่จึงถามว่า กลอุบายท่านคิดประการใด ตันฮกจึงกระซิบแก่เล่าปี่เปนความลับว่า เมืองห้วนเสียผู้คนก็เบาบางอยู่แล้ว ขอให้กวนอูคุมทหารลอบไปตีเอาเมืองห้วนเสียเกี่ยวไว้เห็นจะได้โดยง่าย อันเตียวหุยนั้นให้คุมทหารไปซุ่มอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าข้ามเมืองห้วนเสีย เมื่อโจหยินแตกไปก็จะได้ออกสกัดตี ศึกครั้งนี้หมายเอาชัยชนะได้เปนมั่นคง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงแต่งให้กวนอูกับเตียวหุยคุมทหารไปทำตามถ้อยคำตันฮกว่า แล้วเล่าปี่ก็ตระเตรียมทหารไว้

พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า โจหยินยกกองทัพมาถึงแดนเมืองแล้ว ตันฮกได้ฟังดังนั้นจึงชวนเล่าปี่ยกทหารออกตั้งค่าย ต้านทานกองทัพโจหยินไว้นอกเมือง เล่าปี่จึงให้จูล่งรำทวนออกล่อโจหยินนอกค่าย โจหยินเห็นดังนั้นก็ขับให้ลิเตียนออกรบกับจูล่งได้ยี่สิบเพลง ลิเตียนเห็นกำลังจูล่งนั้นมากนัก จะต้านทานมิได้ก็ควบม้าหนีเข้าค่าย จูล่งเห็นได้ทีก็ขับม้าตามไป ทหารซึ่งอยู่ในค่ายเอาเกาทัณฑ์ยิงสกัดต้านหน้าไว้ จูล่งจะหักเข้าไปมิได้ก็ควบม้ากลับมาค่าย

ฝ่ายลิเตียนจึงว่าแก่โจหยินว่า ทหารเล่าปี่มีฝีมือแลกำลังเข้มแขงนัก เห็นเราจะเอาชัยชนะไม่ได้ ขอให้ท่านกลับไปเมืองห้วนเสียก่อน จะได้คิดทำการสืบไป โจหยินได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงว่า เมื่อแรกเราจะยกมาตัวทำบิดพลิ้วเราก็เห็นใจอยู่ครั้งหนึ่งแล้ว มาบัดนี้เล่า เราให้ออกรบกับจูล่งก็แตกพ่ายเข้ามา ทำให้เสียทีแก่ข้าศึก ครั้นเราจะไม่เอาโทษบัดนี้ทหารทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง จึงสั่งทหารจะให้เอาตัวลิเตียนไปฆ่าเสีย

นายทัพนายกองทั้งปวงช่วยกันขอโทษไว้ โจหยินก็ยกโทษให้ จึงให้ลิเตียนคุมทหารเปนกองหลัง สำหรับป้องกันรักษาสเบียง ครั้นเวลาเช้าโจหยินจึงให้ตีม้าฬ่อฆ้องกลองดังอื้ออึง แล้วจัดแจงพลทหารตั้งเปนกองพยุหโดยขบวรทัพ ชื่อปักบุนคิมโชตี๋น แปลว่าประแจทองมีประตูแปดด้านเสร็จแล้ว ก็ให้ทหารขี่ม้าเข้าไปร้องประกาศหน้าค่ายเล่าปี่ว่า นายเราตั้งกองทหารเปนพยุหดังนี้ ท่านยังรู้จักหรือว่ากลพยุหอันใด

ตันฮกได้ฟังดังนั้น จึงพาเล่าปี่ขึ้นไปบนเนินเขาสูง แล้วแลลงมาดูก็รู้จักในกลพยุห จึงบอกแก่เล่าปี่ว่า ซึ่งโจหยินตั้งพลทหารเปนพยุหไว้ดังนี้ ชื่อว่าปักบุนคิมโชตี๋น มีประตูแปดด้าน ถ้าผู้ใดเข้าไปถูกที่ก็จะแพ้ แม้เข้าถูกที่ก็จะมีชัยชนะ โจหยินทำทั้งนี้ก็ดีจริง แต่ว่ายังหาถ้วนถี่ไม่ ขอท่านแต่งทหารให้เข้าข้างด้านใต้ ตีฝ่าออกมาข้างประตูตวันตก ทหารโจหยินทั้งนั้นก็จะแตกเปนอลหม่านกันไปเอง

เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็พาตันฮกลงมาจากเนินเขา จึงเกณฑ์ทหารให้รักษาค่ายไว้ แล้วก็ให้จูล่งคุมทหารห้าร้อย ยกตีหักเข้าไปทางประตูข้างใต้ ฝ่ายโจหยินครั้นเห็นจูล่งตีเข้ามาดังนั้นก็ขึ้นม้ารำทวนออกล่อ หวังจะให้จูล่งติดตามออกมาข้างประตูทิศเหนือ จูล่งก็มิได้ตามไป แต่รบฝ่าออกมาข้างประตูตวันตก แล้วกลับย้อนหลังตีตลบเข้าไปเลยออกทางประตูทิศใต้ ฝ่ายทหารโจหยินนั้นก็ตื่นฆ่าฟันกันเองเปนอลหม่าน เล่าปี่เห็นได้ทีดังนั้นก็ขับทหารให้ฝ่าฟันเข้าไป ฆ่าทหารโจหยินล้มตายแตกกระจัดกระจายกันไป ตันฮกก็ชวนเล่าปี่กับจูล่งยกทหารกลับเข้าค่าย

ฝ่ายโจหยินเสียทีแก่เล่าปี่ดังนั้น ก็คิดถึงคำลิเตียนซึ่งว่ากล่าวไว้ จึงให้เชิญลิเตียนมาปรึกษา ว่าขบวรศึกครั้งนี้ก็เข้มแขงนัก ชรอยในกองทัพเล่าปี่จะมีคนดีอยู่เปนมั่นคง จึงหักหาญเอาชัยชนะเราได้ ลิเตียนจึงตอบว่า เนื้อความทั้งนี้ข้าพเจ้าก็ได้ว่าแก่ท่านแต่เดิมทีแล้วท่านก็ไม่ฟัง กลับขึ้งโกรธข้าพเจ้าว่าเอาใจออกหาก อนึ่งตัวข้าพเจ้ามาทำศึกอยู่ด้วยท่านข้างนี้ แต่ใจข้าพเจ้าให้คิดวิตกถึงเมืองห้วนเสียอยู่ทุกวันมิได้ขาด ด้วยหามีผู้ใดจะอยู่รักษาป้องกันเมืองไม่ เกลือกจะมีอันตรายภายหลัง โจหยินจึงว่าท่านว่านี้ชอบนัก แต่เราได้ยกกองทัพมาถึงแดนเมืองซินเอี๋ยแล้ว จำจะรบพุ่งกันกับเล่าปี่ให้สิ้นฝีมือก่อน เวลาค่ำวันนี้เราจะยกทหารเข้าปล้น แม้สมความคิดเราก็จะได้ทำการศึกสืบไป ถ้าไม่สำเร็จเราจึงจะถอยกลับไปถึงเมืองห้วนเสีย ลิเตียนจึงว่า เล่าปี่เปนคนมีสติปัญญาจึงว่ามีชัยชนะก็ดีก็จะไม่ประมาท เวลาวันนี้เห็นจะป้องกันรักษาตัวเปนสามารถ ซึ่งท่านจะยกไปปล้นค่ายเล่าปี่นั้น ก็จะเสียทหารป่วยการเปล่า โจหยินจึงว่า อันการสงคราม แม้คิดกลัวแพ้อยู่เหมือนท่านว่าฉนี้แล้วจะทำศึกสืบไปกระไรได้ โจหยินมิฟังก็ให้เตรียมทหารไว้พร้อมแล้วสั่งว่า เวลาสองยามจะยกเข้าปล้นค่ายเล่าปี่

ฝ่ายเล่าปี่กับตันฮกนั่งปรึกษาราชการพร้อมกันอยู่ พอเกิดลมหัวด้วนขึ้นในค่าย ตันฮกจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ลมพายุนี้อัศจรรย์นัก เวลาค่ำวันนี้โจหยินจะยกทหารมาปล้นค่ายเราเปนมั่นคง เล่าปี่จึงว่า แม้โจหยินยกทหารมา เราจะคิดอ่านป้องกันประการใด ตันฮกจึงหัวเราะแล้วตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งจะสู้รบกับโจหยินนั้นข้าพเจ้าจะรับประกันเปนธุระ

ครั้นเวลาพลบค่ำตันฮกจึงให้จูล่งคุมทหารไปซุ่มสกัดอยู่กลางทาง แล้วให้กองเพลิงไว้รอบค่าย ฝ่ายโจหยินครั้นถึงกำหนดก็ยกทหารออกจากค่าย ให้ลิเตียนเปนกองหลัง ยกไปใกล้ค่ายเล่าปี่ เห็นแสงเพลิงสว่างอยู่รอบค่าย โจหยินสำคัญว่าเล่าปี่รู้ตัว ป้องกันรักษามั่นคงอยู่ ก็ถอยทหารจะกลับมาค่าย จูล่งซุ่มสกัดอยู่เห็นดังนั้นก็คุมทหารตีฝ่าออกมา ทหารโจหยินไม่ทันรู้ตัวก็แตกตื่นพากันหนี จูล่งเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ตามไป

ฝ่ายโจหยินจะเข้าค่ายไม่ทัน ก็รีบยกกองทัพตรงไปเมืองห้วนเสีย ครั้นถึงแม่น้ำแดนเมืองห้วนเสีย จึงหยุดทหารจัดแจงเรือจะข้าม เตียวหุยซึ่งตั้งซุ่มอยู่ริมแม่น้ำเห็นดังนั้นก็คุมทหารโจมฟันเข้าไป โจหยินกับลิเตียนไม่ทันรู้ตัวก็ตกใจ พากันลงเรือหนีข้ามฟากไป เตียวหุยก็ไล่ฆ่าฟันทหารโจหยินตายด้วยอาวุธแลตกน้ำตายบ้าง ประมาณหมื่นเศษ

ฝ่ายโจหยินกับลิเตียนข้ามไปถึงฟากแล้ว ก็พาทหารประมาณหมื่นเศษซึ่งเหลือตายนั้นรีบไปเมืองห้วนเสีย ครั้นถึงจึงเรียกทหารในเมืองให้เปิดประตูรับ กวนอูซึ่งเข้าตั้งอยู่ในเมืองเห็นดังนั้นก็จุดปะทัดสัญญาขึ้น แล้วคุมทหารเปิดประตูเมืองออกมา โจหยินแลเห็นกวนอูก็ตกใจ พาทหารหนีออกจากเชิงกำแพง กวนอูก็ไล่ฆ่าฟันทหารโจหยินล้มตายเปนอันมาก โจหยินก็ยกรีบหนีไปเมืองฮูโต๋ แลเมื่อไปถึงกลางทางมีผู้บอกว่า เล่าปี่ทำการสงครามได้ชัยชนะทั้งนี้เพราะความคิดตันฮก

ฝ่ายเล่าปี่ครั้นเห็นโจหยินเสียทีแก่จูล่งแตกหนีไปดังนั้น ก็พาตันฮกกับทหารทั้งปวงยกตามไปถึงแดนเมืองห้วนเสีย แจ้งเนื้อความว่ากวนอูได้เมืองแล้ว โจหยินกับลิเตียนพากันหนีไปเมืองฮูโต๋ เล่าปี่ก็ยกทหารจะเข้าไปเมืองห้วนเสีย ฝ่ายเล่าปิดซึ่งเปนผู้รักษาเมืองห้วนเสีย เปนเชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ เปนแซ่เดียวกันกับเล่าปี่ ครั้นรู้ว่าเล่าปี่ยกมาดังนั้นก็มีความยินดี จึงออกมาเชิญเล่าปี่ให้เข้าไปในเมือง แล้วก็แต่งโต๊ะเชิญให้เล่าปี่กิน ขณะเมื่อเล่าปี่กินโต๊ะอยู่นั้นเห็นหลานเล่าปิดหนุ่มน้อยรูปร่างอ่าโถง ยืนอยู่ข้างหลังเล่าปิด เล่าปี่จึงถามว่า ซึ่งยืนอยู่นั้นชื่อใด เล่าปิดจึงบอกว่าชื่อเค้าฮอง เปนบุตร์ของพี่สาวข้าพเจ้า เปนกำพร้าหาบิดามารดาไม่ ข้าพเจ้าเอามาเลี้ยงไว้ เล่าปี่จึงว่า ข้าพเจ้าเห็นรูปร่างงามก็มีใจเอ็นดูนัก ท่านอนุญาตให้ข้าพเจ้าเลี้ยงเปนบุตรเถิดเปนไรเล่า เล่าปิดได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เค้าฮองคำนับ แล้วอนุญาตให้เปนบุตรเล่าปี่ ๆ จึงเปลี่ยนชื่อเค้าฮองนั้นเสีย ให้ชื่อว่าเล่าฮอง แล้วพาตัวไปคำนับกวนอูเตียวหุยให้เรียกว่าอาว์ กวนอูจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บุตรท่านก็มีอยู่ เหตุไฉนจึงจะเอาผู้อื่นมาเปนเนื้อเหมือนหนึ่งเลี้ยงลูกปลูกหอย นานไปเห็นจะได้ความเดือดร้อน เล่าปี่จึงว่า ถึงผู้อื่นนอกเนื้อก็จริง แต่เรารักใคร่เสมอบุตร ได้เอามาเลี้ยงไว้ก็จะมีกตัญญูรักใคร่ เห็นจะไม่คิดร้ายต่อเรา กวนอูได้ฟังเล่าปี่ว่าดังนั้นก็ขัดใจนิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด

เล่าปี่กับตันฮกจึงปรึกษากัน ให้จูล่งคุมทหารพันหนึ่งอยู่รักษาเมืองห้วนเสีย แล้วเล่าปี่กับตันฮกก็พากวนอูเตียวหุยกลับไปเมืองซินเอี๋ย

Download

กรุณาแสดงความคิดเห็น

ชื่อ

กวนอู,67,การ์ตูน,19,การเมือง,77,กิจกรรม,18,เกม,160,ขงเบ้ง,94,ของสะสม,40,ข่าวสาร,118,คำคมสามก๊ก,77,จิวยี่,5,จูล่ง,21,โจโฉ,66,ซุนกวน,7,เตียวหุย,11,เนื้อหาสามก๊ก,5,บทความ,353,บุคคลภาษิตในสามก๊ก,12,แบบเรียน,8,ปรัชญา,45,เพลง,41,ภาพยนตร์,53,รูปภาพ,67,ลิโป้,9,เล่าปี่,18,วิดีโอ,66,วิธีคิดวิธีทำงาน,13,เว็บไซต์,14,สถานที่,21,สามก๊ก12,14,สามก๊ก13,32,สามก๊ก14,3,สามก๊ก2010,95,สามก๊ก8,1,สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน),87,สุมาอี้,15,หงสาจอมราชันย์,13,หนังสือ,173,อาวุธ,7,แอป,43,Dynasty Warriors,57,E-book,87,
ltr
item
สามก๊กวิทยา : Three Kingdoms Academy: สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 32
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7DzHON02RTQziO4Vf4tgVoO4joIFprj_wAK32NIzbsSqUWpImBd3K4iYFtBAm3Rp9v24vVeJj5dxSE8WqdMj6MbxPYdcK3CTuRfhHyET9G2MHKeKMtv5e1kArkiFk5_yxg4MtFM7o25fl/s640/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581+%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588+%25E0%25B9%2593%25E0%25B9%2592.jpg
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7DzHON02RTQziO4Vf4tgVoO4joIFprj_wAK32NIzbsSqUWpImBd3K4iYFtBAm3Rp9v24vVeJj5dxSE8WqdMj6MbxPYdcK3CTuRfhHyET9G2MHKeKMtv5e1kArkiFk5_yxg4MtFM7o25fl/s72-c/%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%258A%25E0%25B8%2581+%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588+%25E0%25B9%2593%25E0%25B9%2592.jpg
สามก๊กวิทยา : Three Kingdoms Academy
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-32.html
https://www.samkok911.com/
https://www.samkok911.com/
https://www.samkok911.com/2017/02/samkok-ebook-32.html
true
4216477688648787518
UTF-8
โหลดเนื้อหาทั้งหมด ไม่พบเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ดูทั้งหมด อ่านเพิ่ม ตอบ ยกเลิกการตอบ ลบ โดย หน้าแรก หน้า โพสต์ ดูทั้งหมด เรื่องแนะนำสำหรับคุณ หมวดหมู่บทความ เนื้อหาในช่วงเวลา ค้นหา บทความทั้งหมด ไม่พบเนื้อหาที่คุณต้องการ กลับหน้าแรก Sunday Monday Tuesday Wednesday Thursday Friday Saturday Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat January February March April May June July August September October November December Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug Sep Oct Nov Dec just now 1 minute ago $$1$$ minutes ago 1 hour ago $$1$$ hours ago Yesterday $$1$$ days ago $$1$$ weeks ago more than 5 weeks ago Followers Follow THIS PREMIUM CONTENT IS LOCKED STEP 1: Share to a social network STEP 2: Click the link on your social network Copy All Code Select All Code All codes were copied to your clipboard Can not copy the codes / texts, please press [CTRL]+[C] (or CMD+C with Mac) to copy สารบัญ